OpenAI เปิดตัว GPT-4.5 โมเดล AI ที่เข้าใจมนุษย์ได้มากขึ้น

การเปิดตัว GPT-4.5 ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่น่าจับตามอง GPT-4.5 ไม่ใช่แค่การอัปเกรดโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ธรรมดา แต่เป็นการปฏิวัติแนวทางการเรียนรู้ของ AI ที่มุ่งเน้นไปที่ “การเรียนรู้แบบไม่มีผู้สอน” ซึ่งทำให้ AI สามารถเข้าใจโลกและมนุษย์ได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

ความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) ที่เพิ่มขึ้น

สิ่งที่ทำให้ GPT-4.5 แตกต่างจากรุ่นก่อนๆ คือความสามารถในการเข้าใจ “ความตั้งใจ” และ “ความรู้สึก” ของมนุษย์ได้ดีขึ้น หรือที่เรียกว่า “EQ” ที่เพิ่มขึ้น ทำให้ GPT-4.5 สามารถโต้ตอบกับผู้ใช้ได้อย่างเป็นธรรมชาติและเข้าใจบริบทได้ดียิ่งขึ้น เปรียบเสมือนการสนทนากับเพื่อนที่เข้าใจเราจริงๆ

GPT-4.5 ถูกพัฒนาด้วยเทคนิคการเพิ่มพลังประมวลผลและข้อมูลในขั้นตอน “pre-training” แบบ unsupervised learning ซึ่งเป็นวิธีเดียวกับที่ใช้ในโมเดลตระกูล GPT รุ่นก่อนหน้า โมเดลนี้ไม่ใช่โมเดลที่มีความสามารถด้านการเหตุผล (reasoning) แต่เน้นจุดเด่นที่ความรู้ทั่วไป ความคิดสร้างสรรค์ และความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Intelligence หรือ EQ) ที่สูงขึ้น ทำให้เหมาะสำหรับงานที่ต้องการการปรับแต่งข้อความให้เข้ากับบริบทของมนุษย์ เช่น การเขียนบทกวี การปรับปรุงงานเขียน หรือการให้คำแนะนำในชีวิตประจำวัน

ลด “การหลอน” และเพิ่มความน่าเชื่อถือ

ปัญหาหนึ่งที่พบได้บ่อยใน LLM คือ “การหลอน” (hallucinate) หรือข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง GPT-4.5 ได้รับการพัฒนาให้มีความแม่นยำและน่าเชื่อถือมากขึ้น โดยลดการสร้างข้อมูลเท็จลงอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ผู้ใช้สามารถไว้วางใจในข้อมูลที่ได้รับจาก AI ได้มากขึ้น

จากข้อมูลของ OpenAI พบว่า GPT-4.5 มีอัตราการ “hallucinate” หรือการให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องน้อยลงเมื่อเทียบกับ GPT-4o และโมเดล reasoning เช่น o1 และ o3-mini โดยใน benchmark SimpleQA ซึ่งทดสอบคำถามทั่วไป GPT-4.5 ทำคะแนนได้ 62.5% สูงกว่า GPT-4o ที่ได้ 38.6% อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับโมเดล reasoning ชั้นนำ เช่น DeepSeek R1 หรือ Claude 3.7 Sonnet ในด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ (เช่น AIME และ GPQA) GPT-4.5 ยังมีประสิทธิภาพด้อยกว่า รวมถึงในงานเขียนโค้ดที่แพ้ o3-mini อย่างชัดเจน (38% เทียบกับ 61% ใน SWE-Bench)

นอกจากนี้ GPT-4.5 ยังมีความสามารถในการอัปเดตข้อมูลผ่านการค้นหา รองรับการอัปโหลดไฟล์และรูปภาพ รวมถึงใช้งานร่วมกับ canvas ได้ แต่ยังขาดฟีเจอร์มัลติโมดัล เช่น Voice Mode หรือการจัดการวิดีโอ ซึ่งเป็นจุดที่คู่แข่งบางรายเริ่มนำหน้า

ความท้าทายด้านต้นทุนและการใช้งาน

ถึงแม้ GPT-4.5 จะมีจุดเด่นที่น่าสนใจ แต่ก็มาพร้อมกับต้นทุนที่สูงมาก OpenAI ระบุว่าโมเดลนี้มีค่าใช้จ่ายในการรันที่สูงจนบริษัทต้องประเมินว่าจะให้บริการผ่าน API ในระยะยาวหรือไม่ โดย API ของ GPT-4.5 มีราคา 75 ดอลลาร์ต่อ 1 ล้าน input tokens และ 150 ดอลลาร์ต่อ 1 ล้าน output tokens ซึ่งสูงกว่า GPT-4o ถึง 30 เท่า และสูงกว่า o1 ถึง 5 เท่า นอกจากนี้ ผู้ใช้บางรายรายงานว่าความเร็วในการตอบสนองช้ากว่า GPT-4o 2-5 เท่า ซึ่งอาจจำกัดการใช้งานในแอปพลิเคชันที่ต้องการความรวดเร็ว

GPT-4.5 กับการแข่งขันในโลก AI

การเปิดตัว GPT-4.5 แสดงให้เห็นว่า OpenAI ยังคงยึดมั่นในกลยุทธ์ “scaling up” หรือการเพิ่มขนาดโมเดลเพื่อเพื่อประสิทธิภาพ ซึ่งเคยประสบความสำเร็จในอดีตตั้งแต่ GPT-1 ถึง GPT-4 อย่างไรก็ตาม การปรับปรุงในรอบนี้ถูกมองว่าเป็นเพียง “การขัดเกลา” มากกว่าการปฏิวัติ โดยขาดนวัตกรรมที่ชัดเจนเมื่อเทียบกับการก้าวกระโดดจาก GPT-3.5 ไป GPT-4 นักวิจารณ์บางคนมองว่า GPT-4.5 เหมือน “รถคันเดิมที่ทาสีใหม่” ซึ่งอาจไม่เพียงพอในยุคที่คู่แข่งเริ่มนำเสนอโมเดลที่มีประสิทธิภาพสูงในต้นทุนต่ำ

ในช่วงต้นปี 2025 วงการ AI มีการเคลื่อนไหวอย่างเข้มข้น DeepSeek จากจีนสร้างความตื่นตะลึงด้วยโมเดล R1 ที่ทรงพลังแต่ใช้ทรัพยากรน้อย ขณะที่ Anthropic พัฒนา Claude 3.7 Sonnet ซึ่งผสานความสามารถด้าน reasoning และปรับแต่งได้ตามการใช้งาน ส่วน xAI ของ Elon Musk ก็เพิ่งเปิดตัว Grok 3 ที่อ้างว่าเป็น “AI ที่ฉลาดที่สุดในโลก” การแข่งขันนี้บีบให้ OpenAI ต้องเร่งพัฒนา โดย Sam Altman ระบุว่า GPT-4.5 จะเป็นโมเดลสุดท้ายที่ไม่ใช้ chain-of-thought และ GPT-5 ที่กำลังจะมาในอีกไม่กี่เดือนจะรวมเทคโนโลยีจาก o-series เข้ากับ GPT-series เพื่อสร้างประสบการณ์ AI ที่ครบวงจรยิ่งขึ้น

มุมมองอนาคต

GPT-4.5 อาจไม่ใช่จุดเปลี่ยนที่ทุกคนคาดหวัง แต่เป็นสัญญาณว่า OpenAI กำลังเตรียมพร้อมสำหรับก้าวใหญ่ใน GPT-5 ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวช่วงกลางปี 2025 ด้วยการแข่งขันที่รุนแรงและความกดดันจากทั้งด้านเทคโนโลยีและต้นทุน OpenAI จำเป็นต้องพิสูจน์ว่ากลยุทธ์การเพิ่มสเกลยังคงใช้ได้ผลในยุคที่คู่แข่งเริ่มหันไปพัฒนาโมเดลที่มีประสิทธิภาพสูงในราคาประหยัดหรือเน้นเจาะกลุ่มเฉพาะ การเปิดตัวครั้งนี้จึงเป็นเหมือนการ “ซื้อเวลา” เพื่อรักษาความเป็นผู้นำ ก่อนที่การต่อสู้ในสมรภูมิ AI จะดุเดือดยิ่งขึ้นในอนาคตอันใกล้

ข้อมูล: OpenAI