CPU-Z โปรแกรมตรวจสอบซีพียู มีแล้ว ดูยังไง (ตอนที่ 1)

CPU-Z ยูทิลิตีที่ใช้สำหรับตรวจสอบข้อมูลของซีพียู โดยในช่วงแรกของการพัฒนาโปรแกรมนี้จะเน้นตรวจสอบเฉพาะข้อมูลของซีพียูเป็นหลักเท่านั้นและมีข้อมูลฮาร์ดแวร์ในส่วนอื่นอีกเล็กน้อยเท่านั้น แต่ในช่วงหลังมานี้มีการพัฒนาไปค่อนข้างมากทำให้มีความสามารถตรวจสอบข้อมูลฮาร์ดแวร์ในส่วนอื่น ๆ ได้อย่างละเอียดมาขึ้นด้วย แต่ความสำคัญก็ยังคงโฟกัสอยู่ที่ซีพียูเป็นหลัก และล่าสุดก็ได้เพิ่มคุณสมบัติการทดสอบประสิทธิภาพของซีพียูเข้ามาด้วย

ดาวน์โหลด CPU-Z ได้ที่เว็บไซต์ www.cpuid.com และที่เว็บไซต์แห่งนี้ยังมีโปรแกรมอื่น ๆ ที่น่าใช้อย่างเช่น HWMonitor ที่ใช้สำหรับตรวจสอบอุณหภูมิในส่วนต่าง ๆ จากฮาร์ดแวร์ภายในเครื่องของเราด้วย ซึ่งเราคงจะได้พูดถึงโปรแกรมนี้ในโอกาสต่อ ๆ ไปครับ

เมื่อติดตั้งและเรียกขึ้นมาใช้งานเราก็จะพบกับหน้าตาแบบนี้ครับ ดูแล้วก็คล้ายกับ GPU-Z ที่เป็นเพื่อนกันเลย แต่ถ้าจะเจาะรายละเอียดในเชิงลึก CPU-Z มีมากกว่าเยอะเลยครับ เพราะว่าไม่ได้ดูเฉพาะซีพียูอย่างเดียวแต่ยังดูไปถึงเมนบอร์ด หน่วยความจำ และกราฟิกการ์ดอีกด้วย

CPU-Z เวอร์ชัน 1.78.1 (รุ่นล่าสุดในวันที่เขียนบทความ) จะมีแท็บให้เราดูข้อมูลทั้งหมด 8 แท็บด้วยกัน ได้แก่

  1. CPU ใช้ดูข้อมูลทั่วไปของซีพียู
  2. Caches ใช้ดูข้อมูลหน่วยความจำแคขภายในซีพียู
  3. Mainboard รายงานยี่ห้อ รุ่น และชิปเซตของเมนบอร์ดที่ใช้
  4. Memory ใช้รายงานข้อมูลของหน่วยความจำที่ติดตั้งและข้อมูลในขณะกำลังทำงาน
  5. SPD แสดงข้อมูลจำเพาะของหน่วยความจำ
  6. Graphics แสดงข้อมูลของกราฟิกชิปที่ใช้งาน
  7. Bench ทดสอบประสิทธิภาพของซีพียู
  8. About ข้อมูลเกี่ยวกับโปรแกรม CPU-Z

หน้าตาทั้ง 8 แท็บก็ตามรูปที่เห็นทางด้านล่างนี้เลยครับ

สิ่งที่โปรแกรม CPU-Z นำออกมาแสดงให้เราดูนี้จริง ๆ แล้วทางผู้พัฒนาโปรแกรม CPU-Z ไม่ได้เป็นผู้กำหนด แต่ผู้ผลิตซีพียูจะเป็นผู้กำหนดค่าเหล่านี้มาให้อยู่ในตัวของซีพียู เรียกว่าค่า CPUID ซึ่งเปรียบได้กับข้อมูลบัตรประจำตัวของซีพียูแต่ละรุ่นนั่นเองครับ โดยค่า CPUID นี้ก็ไม่ใช่ว่าผู้ผลิตซีพียูแต่ละรายจะกำหนดกันขึ้นมาเองแบบต่างคนต่างทำ แต่ว่าเป็นการกำหนดร่วมกันโดยเฉพาะซีพียูที่ใช้สถาปัตยกรรม x86 จะมีการตกลงใช้ค่า CPUID หรือจะเรียกว่าแบบฟอร์มการบันทึกข้อมูลของซีพียูร่วมกันซึ่งเมื่อก่อนนั้นมีผู้ผลิตซีพียูตามสถาปัตยกรรม x86 มากมายครับแต่ปัจจุบันเหลือหลัก ๆ เพียงสองรายคือ Intel กับ AMD ส่วนรายอื่นที่ยังพอเห็นอยู่บ้างก็คือ VIA นอกนั้นก็เลิกไปบ้างถูกควบรวมกิจการบ้าง

ส่วนโปรแกรม CPU-Z รวมไปถึงโปรแกรมตรวจสอบฮาร์ดแวร์อื่น ๆ ก็จะไปอ่านค่า CPUID เหล่านี้ขึ้นมาเพื่อแสดงผลให้เราอ่านในรูปแบบที่ง่ายและสะดวกขึ้น สำหรับในตอนที่ 1 นี้ เราจะมาให้ความสำคัญกับแท็บ CPU กันก่อนนะครับ เฉพาะแท็บนี้ก็ได้ความรู้เกี่ยวกับซีพียูไปเยอะเลยละครับ

CPU-Z: CPU

ในแท็บนี้ก็มีการแบ่งข้อมูลออกเป็นสามกลุ่มให้ดูง่ายขึ้นครับ กลุ่มแรกก็คือ Processor (โปรเซสเซอร์ ซึ่งหมายถึงตัวซีพียูนั่นเอง) กลุ่มที่สอง Clock หรือกลุ่มของสัญญาณนาฬิกาที่ซีพียูใช้ในการทำงาน และกลุ่มที่สามก็คือ Cache หรือหน่วยความจำแคชที่อยู่ภายในตัวซีพียู ตอนนี้เราก็จะมาไล่ดูกันไปทีละส่วนครับ

  • Name: ใช้แสดงชื่อของซีพียูกันแบบชัด ๆ ไปเลยว่าเป็นรุ่นอะไร เช่นในตัวอย่างภาพก็คือ Intel Core i7 4960X หรือถ้าเป็นรุ่นอื่นก็เช่น AMD FX-8320E จะมีเพียงบางกรณีเท่านั้นที่อาจจะไม่สามารถระบุข้อมูลที่ถูกต้องได้ ซึ่งส่วนใหญ่เกิดมาจากทางผู้ผลิตซีพียูยังไม่เปิดเผยข้อมูลให้ทราบ ยกตัวอย่างชัดเจนสุดก็ตอนนี้เลยครับซีพียู Ryzen ของ AMD แม้จะมีข้อมูลหลุดออกมาและมีภาพจากโปรแกรม CPU-Z แต่ชื่อของซีพียูก็ยังแสดงเป็นรหัสตัวเลขยังไม่แสดงเป็นชื่อของซีพียูที่ใช้ในทางการตลาด
  • Code Name: คือชื่อรหัสของสถาปัตยกรรมซีพียูรุ่นนั้นนำมาใช้งาน ถ้าเป็นซีพียูของ Intel ก็เช่น Skylake, Kaby Lake หรือถ้าเป็นซีพียูของ AMD ก็เช่น Vishara, Summit Ridge เป็นต้น
  • Max TDP: แสดงค่า TDP (Thermal Design Power) สูงสุดของซีพียูมีหน่วยเป็น Watts ค่า TDP ของซีพียูในระดับเดสก์ท้อปรุ่นใหม่ ๆ ทั่วไปก็จะอยู่ที่ประมาณ 65 วัตต์ บ้าง 95 วัตต์ บ้าง หรือถ้าเป็นรุ่นประสิทธิภาพสูงมาก ๆ อย่างในกลุ่ม Core i7 Extreme Edition ก็จะมีค่า TDP สูงถึง 140 วัตต์ ก็มี แต่ตอนนี้ทาง AMD ก็มีซีพียูประสิทธิภาพสูงในระดับเดียวกันออกมาแล้วครับนั่นก็คือ Ryzen 7 แต่มีค่า TDP อยู่ในระดับซีพียูทั่วไปเท่านั้นคือ 65 วัตต์ และ 95 วัตต์ แล้วแต่รุ่น ค่า TDP นี้บางคนเข้าใจว่าเป็นค่าการใช้กำลังไฟฟ้าซึ่งมีหน่วยเป็นวัตต์เหมือนกัน จึงทำให้เข้าใจผิดว่าซีพียูกินไฟ 65 วัตต์ 95 วัตต์ จริง ๆ แล้ว TDP คือค่าความร้อนที่ซีพียูสามารถสร้างขึ้นมาได้ในระหว่างการทำงานครับ และมีหน่วยเป็นวัตต์ ค่า TDP นี้จะใช้สำหรับการออกแบบชุดระบายความร้อน และเลือกซื้อชุดระบายความร้อนมาใช้งานให้เหมาะสมกับซีพียูครับ เช่นตอนนี้ทีมงานเราใช้ซีพียู Intel Core i7 4960X ที่มีค่า TDP 140 วัตต์ เวลาไปซื้อฮีตซิงค์ก็ต้องดูว่าฮีตซิงค์รุ่นนั้นออกแบบมาให้รองรับความร้อนในระดับ 140 วัตต์ และถ้าเป็นไปได้ก็เลือกใช้ฮีตซิงค์ที่รองรับอุณหภูมิได้สูงกว่า 140 วัตต์ ก็ยิ่งดีครับ ช่วยระบายความร้อนได้เร็ว แต่ก็ต้องพิจารณาถึงคุณสมบัติอื่น ๆ ประกอบด้วย
  • Packgae: แพ็กเกจ หมายถึงรูปแบบของลักษณะการผลิตซีพียูถ้าเป็นซีพียูสำหรับเครื่องเดสก์ท็อปทั่วไปที่ติดตั้งบนซอกเก็ตชนิดต่าง ๆ ข้อมูลตรงนี้ก็จะแสดงชื่อเรียกของซ็อกเก็ตและชนิดของแพ็กเกจ เช่น Socket 2011LGA ในที่นี้ก็คือซ็อกเก็ตที่มีจำนวนพิน 2011 พิน อยู่ในแพ็กเกจแบบ LGA ย่อมาจากคำว่า Land Grid Array ก็มีหน้าตาเหมือนกับซีพียูของอินเทลในรุ่นปัจจุบันนี้ครับ หรือในกรณีที่เป็นซีพียูสำหรับโน้ตบุ๊กเช่น Intel Core i7 6700HQ ก็จะแสดงข้อมูลในช่องนี้ว่า Socket 1440 FCBGA นี่ก็เป็นแพ็กเกจอีกหนึ่งรูปแบบครับ ย่อมาจากคำเต็ม ๆ ว่า Flip Chip Ball Grid Array และถ้าจะแยกย่อยลงไปอีก Flip Chip ก็เป็นลักษณะของแพ็กเกจแบบหนึ่งครับ โดยมาร่วมกับการออกแบบผิ้นผิวในการเชื่อมต่อที่ใช้เทคนิค Ball Grid Array (BGA) หรือในกรณีที่ใช้ซีพียูของ AMD เช่น FX-8320 ก็จะแสดงข้อมูลเป็น Socket AM3+ (942) หมายถึงซ็อกเก็ตแบบ AM3+ ที่มีจำนวนพินหรือขาจำนวน 942 ขา แต่ว่าจริง ๆ แล้วแพ็กเกตซีพียูที่เป็น AM3+ รวมไปถึง AM4 ที่เพิ่งออกมาล่าสุดก็มีชื่อเรียกแพ็กเกจอย่างเป็นทางการว่า PGA หรือ Pin Graid Area และ PGA นี้ก็สามารถมารวมกับเทคนิคแบบ Flip Chip ก็จะกลายเป็นแบบ FCPGA ได้อีกครับ เรื่องคุณลักษณะของแพ็กเกจซีพียูนี้มีหลากหลายมากมาย และแต่ละแบบก็จะมีคุณสมบัติและความแต่งกันออกไปอีก
  • Technology: เทคโนโลยีในที่นี้หมายถึงเทคโนโลยีของกระบวนการผลิตซีพียู เช่น 22 nm (nanometer-นาโนเมตร) เทคโนโลยีในการผลิตยิ่งเล็กก็ยิ่งทำให้ประหยัดพลังงาน และมีความร้อนเกิดขึ้นน้อย ซีพียูรุ่นปัจจุบันของอินเทล เช่น คอร์เจนเนอร์เรชันที่ 7 ใช้เทคโนโลยีในการผลิตแบบ 14 นาโนเมตร และซีพียูของ Intel รุ่นถัดไปคาดว่าจะผลิตด้วยเทคโนโลยี 10 นาโนเมตร ส่วนซีพียูล่าสุดของ AMD คือ Ryzen ที่เปิดตัวมานี้ก็ผลิตด้วยเทคโนโลยี 14 นาโนเมตร เช่นกัน
  • Core Voltage: ในซีพียูหนึ่งตัวที่เราเห็นนั้นจะมีหน่วยย่อย ๆ อยู่ภายในมากมายครับ เช่นส่วนที่ทำหน้าที่ประมวลผล ส่วนที่เป็นหน่วยความจำแคช ส่วนที่เป็นตัวควบคุมอินเทอร์เฟซต่าง ๆ และแรงดันไฟฟ้าที่เราส่งเข้าไปในตัวซีพียูนั้นก็จะมีการแยกกันไปตามความต้องการของแต่ละส่วนครับ สำหรับ Core Voltage (แต่โดยทั่วไปเราจะเรียก CPU Vcore) นั้นก็จะหมายถึงแรงดันเพราะส่วนหลักของซีพียูที่ใช้ในการประมวลผลครับ เวลาเราเปิดหน้าจอของ CPU-Z ค้างไว้ เราอาจจะเห็นว่าค่าตัวเลขของ Core Voltage เปลี่ยนแปลงขึ้น ๆ ลง ๆ ก็ไม่ต้องตกใจครับเพราะเป็นการวัดค่าแรงดันของในแบบ Real-Time หรือซึ่งซีพียูรุ่นใหม่จะมีการเพิ่มและลดการใช้ Core Voltage เพื่อประหยัดพลังงานและควบคุมความร้อนครับ สำหรับแรงดันไฟฟ้าที่ส่งเข้าไปในส่วนต่าง ๆ ของซีพียูนั้นไม่ได้มาจากพาวเวอร์ซัพพลายโดยตรงครับ แรงดันไฟฟ้าของซีพียูจะมาจากคอนเน็คเตอร์แบบ 4 พิน หรือ 8 พิน บนเมนบอร์ด แล้วจากนั้นก็จะส่งเข้ามาที่วงจรแปลงแรงดันและกระแสไฟฟ้าให้กับซีพียูอีกทอดหนึ่ง

***  ตัวเลขที่แสดงในช่อง Family, Ext Family, Model, Ext. Model, Stepping จะแสดงอยู่ในรูปแบบเลขฐาน 16 ส่วน Revision จะเป็นรหัสผสมกับเลขฐาน 16 ***

  • Specification: ช่องนี้จะแสดงชื่อรุ่นของซีพียูอีกครั้งและพร้อมกับแสดงความเร็วของ Clock Speed ในโหมดปกติ แต่กับซีพียูบางรุ่นก็จะแสดงเฉพาะชื่อรุ่นของซีพียูก็มี ข้อมูลตรงนี้ก็ขึ้นอยู่กับทางผู้ผลิตซีพียูจะให้ข้อมูลออกมาครับ
  • Family: เราจะแปลว่าครอบครัวหรือตระกูลก็ได้ ในที่นี้จะหมายถึงสถาปัตยกรรมหลักที่นำมาใช้กับซีพียูรุ่นนั้น รวมถึงสถาปัตยกรรมตั้งต้น ถ้าเรามีซีพียูยี่ห้อเดียวกันสองตัวแม้จะเป็นคนละรุ่นมาตรวจสอบแล้วพบว่ามีค่าของ Family เหมือนกันก็แสดงว่าซีพียูทั้งสองตัวนั้นอยู่ในตระกูลเดียวกัน มีพื้นฐานของสถาปัตยกรรมเดียวกัน
  • Ext. Family: (Extended Family) คือข้อมูลที่ใช้บ่งบอกถึงสถาปัตยกรรมที่แยกย่อยออกมา แต่ถ้าไม่ได้เป็นสถาปัตยกรรมที่แยกย่อยออกมาก็จะแสดงเป็นข้อมูลเดียวกันกับ Family อย่างไรก็ตามเรื่องการแบ่งแยกของ Family นั้นทางผู้ผลิตซีพียูจะเป็นคนกำหนดเองว่าอยู่ในตระกูลเดียวกันหรือจะแยกออกมา ทั้ง ๆ ที่บางครั้งได้มีการเปลี่ยนสถาปัตยกรรมหรือกระบวนการผลิตไปแล้วก็ตาม ตรงนี้ก็อาจจะขัดใจผู้บริโภคอย่างเราอยู่เหมือนกัน
  • Model: หมายถึงรุ่นหลักของซีพียูเช่น ถ้าตัวเลขในช่องนี้เป็นเลข 1 ซึ่งหมายถึงเป็นตัวแรกใน Family นั่นเอง และในช่อง Ext. Model ก็จะเป็นเลข 1 ด้วยเช่นกัน ถ้ายังไม่มีรุ่นอื่น ๆ แยกย่อยออกไป การแยกย่อยตรงนี้ทางผู้ผลิตซีพียูจะเป็นคนกำหนดเองอีกเช่นเคย
  • Ext. Model: (Extended Model) เป็นตัวเลขของการแสดงรุ่นย่อยของซีพียู
  • Stepping: (CPU Stepping) ข้อมูลที่ใช้แสดงรหัสของรายละเอียดในการผลิตซีพียู แม้ว่าจะเป็นซีพียูยี่ห้อเดียวกันรุ่นเดียวกัน แต่ก็อาจจะมีค่า Stepping ที่แตกต่างกันไปได้ เช่นถ้าซื้อในตอนที่ออกมาใหม่ ๆ ก็อาจจะใช้รหัส A0 แต่พอซื้อช่วงปลายปีซื้อซีพียููรุ่นเดิมแต่เป็นการผลิตคนละครับก็อาจจะได้รหัส Stepping เป็น B0 อย่างนี้เป็นต้น
  • Revision: (CPU Revision) เป็นการระบุถึงการปรับปรุงแก้ไขภายในของซีพียู
  • Instruction: Instruction ในที่นี้หมายถึง Instruction set หรือชุดคำสั่งนั่นเองครับ แต่ว่าสิ่งที่แสดงอยู่ในช่อง Instruction นี้ไม่ได้เป็นชุดคำสั่งทั่วไปนะครับ แต่ว่าเป็นชุดคำสั่งพิเศษที่มีนอกเหนือไปจากชุดคำสั่งมาตรฐานของสถาปัตยกรรม x86 ที่มาอย่างยาวนาน โดยคำสั่งพิเศษเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นชุดคำสั่งที่เกี่ยวข้องกับการประมวลผลทางด้านทศนิยม หรือทางด้านมัลติมีเดียเป็นหลักครับ บางชุดคำสั่งก็มีทั้งในซีพียูเอเอ็มดีและซีพียูของอินเทลเช่น MMX, SSE, AVX เป็นต้น และในบางชุดคำสั่งก็จะมีเฉพาะในซีพียูบางรุ่นเท่านั้น หรือบางครั้งก็มีแต่ไม่ได้ถูกนำมาแสดงไว้ก็มีครับ หรือบางอยากก็เป็นเทคโนโลยีแบบเดียวกันแต่ใช้ชื่อเรียกต่างกัน เช่นเทคโนโลยีทางด้าน Virtualization ของอินเทลจะใช้ตัวย่อว่า VT-x ส่วนเอเอ็มดีจะใช้ AMD-V เป็นต้น (ส่วนชุดคำสั่งเหล่านี้มีความสำคัญอย่างไร เราจะมาเล่าให้ฟังในโอกาสต่อ ๆ ไปครับ)

(Clocks) มาดูส่วนที่สองของแท็บ CPU กันบ้างครับ ในส่วนนี้จะใช้แสดงเรื่องของความเร็วในการทำงานของสัญญาณนาฬิกาหรือว่า “Clock” นั่นเอง ในวงจรดิจิทัลทุกประเภทที่ต้องมีการทำงานของส่วนต่าง ๆ ร่วมกันจำเป็นจะต้องมีสิ่งที่เรียกว่าสัญญาณนาฬิกา “Clock” ซึ่งสัญญาณนาฬิกาในที่นี้ไม่ได้หมายถึงตัวบอกเวลาเช้า เวลาเย็น หรือบอกว่ากี่โมงกี่ยามนะครับ แต่เป็นสัญญาณที่ใช้กำหนดเวลา “Timing” เพื่อให้ส่วนต่าง ๆ สามารถทำงานได้อย่างสอดคล้องกัน แม้ว่าอุปกรณ์ที่ทำงานร่วมกันนั้นจะมีความเร็วในการทำงานของสัญญาณนาฬิกาไม่เท่ากันก็ตาม

  • Core Speed: แสดงความเร็วของสัญญาณนาฬิกาของซีพียูที่กำลังทำงานอยู่ในขณะนั้น เช่นในตัวอย่างตอนนี้ซีพียูกำลังทำงานที่ความเร็ว 3999.04MHz หรือประมาณ 4GHz โดยค่า Core Speed นี้จะได้จากค่าของความเร็ว “Bus Speed” คูณกับค่าตัวคูณ “Multipile”
  • Multiplier: แสดงค่าตัวคูณของสัญญาณนาฬิกา ค่านี้ขึ้นอยู่กับรุ่นของซีพียูที่ใช้งาน เช่นในตัวอย่างนี้ค่าตัวคุณของสัญญาณ สามารถปรับได้ระหว่าง x12 – x40 สาเหตุที่ต้องมีตัวคูณของสัญญาณฬิกาก็เพราะว่าตัวกำเนิดสัญญาณนาฬิกาที่เป็นพื้นฐานนั้นไม่สามารถที่จะสร้างสัญญาณนาฬิกาที่มีความถี่สูงได้โดยตรง (ทำได้แต่อาจจะเกิดความผิดพลาดได้ง่าย) จึงจำเป็นต้องอาศัยการคูณเพื่อเพิ่มความถี่ของสัญญาณนาฬิกา เมื่อก่อนโน้น….(นานมาก) ค่าตัวคูณเหล่านี้จะถูกกำหนดตายตัวมาว่ามีค่าเท่าไร แต่ปัจจุบันค่าตัวคูณของซีพียูนั้นสามารถปรับได้โดยอัตโนมัติเพื่อการประหยัดพลังงาน
  • QPI Link / HT Link: ข้อมูลตรงช่องสุดท้ายที่อยู่ใต้ Bus Speed นี้ จะมีการแสดงที่แตกต่างกันออกไปตามแพลตฟอร์มของซีพียู เช่นในตัวอย่างหลักของเราที่ใช้ซีพียู Core i7-4960X มีระบบการเชื่อมต่อกันภายในที่เรียกว่า QPI Link หรือ QuickPath Interconnect ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเฉพาะของแพลตฟอร์มอินเทล ส่วนแพลตฟอร์มอื่นอย่างเช่นซีพียู AMD FX ตรงส่วนนี้ก็จะแสดงเป็น HT Link หรือการเชื่อมต่อแบบ HyperTransports นี่ก็เป็นเทคโนโลยีเฉพาะของทาง AMD เช่นกัน แต่โดยทั่วไปแล้วค่าตรงส่วนนี้จะเป็นการแสดงความเร็วของบัสในระบบที่มีชื่อเรียกแตกต่างกันไปครับ แต่บางแพลตฟอร์มก็ไม่ได้มีการแสดงข้อมูลตรงนี้ไว้

(Cache) มาถึงส่วนสุดท้ายในแท็บ CPU กันแล้วนะครับ นั่นก็คือส่วนของ Cache หรือหน่วยความจำแคช ทีนี้ก็มีคำถามต่อว่าหน่วยความจำแคชคืออะไร อธิบายสั้น ๆ ก็คือเป็นหน่วยความจำความเร็วสูงที่อยู่ภายในตัวของซีพียู และภายในซีพียูหนึ่งตัวก็จะมีแคชอยู่หลายระดับด้วยกันดังในภาพตัวอย่างก็จะเห็นได้ว่ามีหน่วยความจำแคชอยู่ 3 ระดับ Cache Level 1, Cache Level 2 และ Cache Level 3 หรือบางทีเราก็จะเรียกกันย่อ ๆ ว่า Cache L1 หรือแคช L1 แบบไทย ๆ แต่จำนวน Level หรือลำดับชั้นของหน่วยความจำแคชในซีพียูอาจจะมีไม่เท่ากันครับ บางรุ่นก็จะมีแค่แคช L1 กับ L2 เท่านั้น หรือบางรุ่นก็จะมีมากถึงระดับ L4 กันก็มีแต่ว่ามีน้อยครับ ซีพียูส่วนใหญ่ในปัจจุบันจะมีแคชอยู่ 3 ระดับ การมีแคชที่ต่างกันก็เป็นเรื่องของสถาปัตยกรรมซีพียูครับ

สำหรับลำดับการทำงานของหน่วยความจำแคชก็จะเป็นคล้าย ๆ ในลักษณะนี้ครับ เช่นเรากำลังนั่งหาข้อมูลเพื่อทำรายงานอยู่บนโต๊ะในห้องสมุด แล้วเดินไปเลือกหนังสือที่ต้องการจำนวนหนึ่งมาใส่ในรถเข็นจนเต็ม จากนั้นเราก็แบ่งหนังสือส่วนหนึ่งจากรถเข็นมากองไว้บนโต๊ะ ต่อมาเราก็หยิบหนังสือเล่มหนึ่งจากในกองนั้นขึ้นมาอ่านเพื่อหาข้อมูล

หนังสือที่เรากำลังอ่านถือว่าเป็นแคช L1 ที่อยู่ใกล้และนำข้อมูลมาใช้งานได้สะดวกสุด แต่คราวนี้ถ้าเราไม่พบข้อมูลในหนังสือที่อยู่ในมือ เราก็จะไปค้นกองหนังสือที่อยู่บนโต๊ะเปรียบได้กับแคช L2 และถ้าข้อมูลในแคช L2 ไม่มีอีก เราก็อาจจะไปค้นในรถเข็นเปรียบได้กับแคช L3 และถ้าในรถเข็นไม่มีอีกคราวนี้เราก็ต้องไปหาที่ชั้นหนังสือซึ่งก็อาจจะเปรียบได้กับหน่วยความจำหลักบนเมนบอร์ดหรือ RAM และเราก็ยกให้ห้องสมุดทั้งห้องเป็น HDD หรือ SSD ไปครับ นี่คือภาพรวมลำดับชั้นของหน่วยความจำแคชอย่างง่ายครับ

ย้อนกลับไปดูในรูปหน่วยความจำแคชที่เป็นภาพตัวอย่างจากซีพียู Core i7-4960X ก็จะมีรายละเอียดดังนี้

  • L1 Data: (Data Cache Level 1) หมายถึงแคชระดับที่ 1 สำหรับการเก็บข้อมูล ข้อความที่แสดง 6 x 32 KByte ก็หมายถึงมีจำนวน L1 Data ทั้งหมด 6 ชุด(ตามจำนวนคอร์ของซีพียู) โดย L1 Data แต่ละตัวมีขนาดที่ 32 กิโลไบต์ ส่วนข้อมูลชุดสุดท้ายที่บอกว่า 8-Way (เดี๋ยวค่อยอธิบายต่อว่าคืออะไร)
  • L1 Inst.: (Instruction Cache Level 1) แคชระดับที่ 1 สำหรับชุดคำสั่ง ข้อความ 6 x 32 KByte หมายถึงมีจำนวน L1 Inst ทั้งหมด 6 ชุด แต่ละตัวมีขนาด 32 กิโลไบต์ และเป็นแคชแบบ 8-Way
  • Level 2: (Cache Level 2) แคชระดับที่ 2 มีจำนวน 6 ชุด เท่ากับจำนวนคอร์ของซีพียู แต่ละชุดมีขนาด 256KByte และเป็นแบบ 8-Way
  • Level 3: (Cache Level 3) แคชระดับที่ 3 มีขนาด 15MByte หรือ 15 เมกะไบต์ เป็นแคชแบบ 20-Way

สำหรับเรื่องของหน่วยความจำแคชในซีพียูยังมีสิ่งที่ต้องพูดอีกเยอะครับ ซึ่งรายละเอียดของ Cache จะอยู่ในแท็บที่สองของโปรแกรม CPU-Z ซึ่งในตอนที่สองเราก็จะมาพูดถึงหน่วยความจำแคชในแบบเต็ม ๆ กันอีกครั้งหนึ่ง สำหรับตอนที่ 1 ก็ขอจบลงไปแต่เพียงเท่านี้ อย่าลืมกด Like กด Share และมาเป็นสมาชิกแพจของ QuickPC นะครับ พบกันใหม่ในตอนหน้า สวัสดีครับ