คาดการณ์สเปค Nintendo Switch 2 แรงด้วยซีพียู 8 คอร์ และการ์ดจอที่รองรับ Ray tracing

ในที่สุด Nintendo ก็ได้เปิดเผยรูปร่างหน้าตาของ Switch 2 ออกมาอย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้วหลังจากมีข้อมูลหลุดจนเห็นทุกอย่างที่อยู่ภายในแม้กระทั่งแผงวงจร แน่นอนว่าพอเห็นรูปร่างหน้าตาแล้ว ตอนนี้หลายคนก็ต้องการรู้ว่าสเปคของ Switch 2 นั้นจะเป็นอย่างไร เพราะจาก Switch รุ่นแรกที่เปิดตัวไปเมื่อ มีนาคม 2017 ถึงตอนนี้ก็เกือบจะครบ 8 ปีแล้ว

และก่อนเวลาที่ Nintendo จะเปิดตัววิดีโอของ Switch 2 ผู้ใช้ X ที่ชื่อว่า @Zuby_Tech ก็ได้โพสต์รูปข้อมูลสเปคของ Switch 2 ไว้ดังนี้ครับ

ก่อนหน้าที่จะ @Zuby_Tech จะโพสต์สเปคให้เราได้เห็น เขาเคยโพสต์รูปเรนเดอร์ของ Switc 2 ไว้ตั้งแต่กันยายน 2024 ซึ่งก็ตรงกันกับหน้าตาที่ Nintendo เปิดตัวให้เราเห็นอย่างเป็นทางการ ดังนั้นข้อมูลของเขาก็ถือว่ามีความแม่นยำพอสมควร เรามาลองเทียบสเปคของ Switch รุ่นแรกกับ Switch 2 ที่มีอายุห่างกัน 8 ปี

Nintendo Switch 2 มาพร้อมกับสเปคที่อัปเกรดขึ้นอย่างชัดเจนจากรุ่นก่อน โดยใช้ฮาร์ดแวร์ใหม่เพื่อรองรับประสิทธิภาพที่สูงขึ้น ดังนี้:

CPU
  • สถาปัตยกรรม: Arm Cortex-A78C
  • จำนวนคอร์: 8 คอร์
  • ขนาด Cache: ยังไม่เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับ L1/L2/L3 Cache

CPU ตัวนี้ถือว่าเป็นการก้าวกระโดดในแง่ของประสิทธิภาพเมื่อเทียบกับรุ่นเดิม ช่วยเพิ่มความเร็วในการประมวลผลและรองรับการทำงานของเกมที่มีความซับซ้อนมากขึ้น

GPU
  • รุ่น: Nvidia T239 Ampere (สถาปัตยกรรมเดียวกับ RTX 30 series)
  • ส่วนประกอบหลัก:
    • 1 Graphics Processing Cluster (GPC)
    • 12 Streaming Multiprocessors (SM)
    • 1534 CUDA Cores
    • 6 Texture Processing Clusters (TPC)
    • 48 Gen 3 Tensor Cores
    • 2 RTX Ray-Tracing Cores

GPU ใหม่นี้ออกแบบมาเพื่อเพิ่มความสามารถในการประมวลผลกราฟิกที่ละเอียดและสมจริงมากขึ้น รองรับเทคโนโลยี Ray-Tracing และ AI ที่ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการเล่นเกม เรียกได้ว่าเป็นการย่อส่วนการ์ดจอ RTX 30 มาใช้งานในเครื่องเล่นเกมพกพา

RAM

  • ความจุ: 12 GB LPDDR5 (หรือ LPDDR5X รอยืนยัน)
  • การจัดสรร: แบ่งเป็น 2 ชิป ขนาด 6 GB

หน่วยความจำ LPDDR5 มีแบนด์วิดท์สูงและประหยัดพลังงาน ทำให้การประมวลผลเกมและการสลับการใช้งานระหว่างแอปพลิเคชันลื่นไหลยิ่งขึ้น

โปรไฟล์พลังงาน (Power Profiles)

Nintendo Switch 2 มีโปรไฟล์การใช้งานที่แตกต่างกันระหว่างโหมดพกพาและโหมดเชื่อมต่อกับ Dock เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและการประหยัดพลังงาน

โหมดพกพา (Handheld Mode):
  • CPU: ความเร็ว 1100.8 MHz
  • GPU: ความเร็ว 561 MHz (ให้กำลังประมวลผล 1.72 TFLOPs)
  • RAM: ทำงานที่ 2133 MHz (แบนด์วิดท์สูงสุด 68.26 GB/s)

โหมดนี้ออกแบบมาเพื่อการเล่นเกมที่ลื่นไหลในขณะที่ลดการใช้พลังงานแบตเตอรี่

โหมด Docked:
  • CPU: ความเร็ว 998.4 MHz
  • GPU: ความเร็ว 1007.3 MHz (ให้กำลังประมวลผล 3.09 TFLOPs)
  • RAM: ทำงานที่ 3200 MHz (แบนด์วิดท์สูงสุด 102.40 GB/s)

ในโหมดนี้ อุปกรณ์จะเพิ่มพลังการประมวลผลกราฟิกเพื่อแสดงผลที่ละเอียดขึ้นบนหน้าจอใหญ่ เช่น ความละเอียด 4K

หากดูจากสเปคในภาพรวมก็ต้องถือว่า Switch 2 พกความแรงมาเต็มเปี่ยมและก็ถือว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปมากจริง ๆ (ก็ตั้ง 8 ปี) ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมาตลาดเล่นเกมพกพานอกจากจะมีสมาร์ทโฟนยึดครองอยู่ เราก็ได้เห็นการมาของกลุ่ม Steam Deck ที่ใช้ฮาร์ดแวร์ของพีซีย่อส่วนลงมาเพื่อจับตลาดนี้ ซึ่งก็มีทั้งซีพียูจาก Intel และ AMD โดยเฉพาะทางฝั่ง AMD ดูจะจริงจังมากเพราะเพิ่งเปิดตัว Ryzen Go มาอีกสามรุ่น เพื่อลงมาในตลาดนี้โดยเฉพาะ

ดังนั้นการมาของ Nintendo Switch 2 จึงถือว่าเป็นการกลับมาลงตลาดเครื่องเล่นเกมแบบพกพาครั้งสำคัญ ที่สามารถสร้างแรงกระเพื่อมไปทั้งตลาดได้ เพราะทางฝั่ง Nintendo มีแฟน ๆ ที่เหนียวแน่นอยู่แล้ว เพียงแต่ที่ผ่านมาอาจจะทิ้งช่วงนานไปหน่อย ตามสไตล์เกมคอนโซลที่ไม่เน้นออกฮาร์ดแวร์บ่อย

งานนี้ก็รอดูกันว่าหลังพอถึงเดือนเมษายน 2025 ซึ่งเป็นช่วงเวลาเปิดตัวอย่างเป็นทางการของ Nintendo Switch 2 จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้างและทีสำคัญจะมีอะไรออกมาให้เราได้สนุกกันอย่างจริงจังบ้าง หลังจากรอคอยมาหลายปี ตั้งแต่สมัยเรียนจนจบมาทำงานกันหมดแล้ว