เส้นทางสู่ Intel Panther Lake (Core Ultra 300 Series) สถาปัตยกรรมซีพียูแบบไฮบริดรุ่นต่อไป
มีข่าวว่าอินเทลกำลังจะเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับซีพียู Panther Lake หรือที่ลือว่าจะมาในชื่อ Core Ultra 300 Series ในวันที่ 9 ตุลาคมนี้ (บ้านเราน่าจะเป็นวันที่ 10) วันนี้ก็เลยขอชวนคุณผู้อ่านมาติดตามเส้นทางของซีพียูที่ใช้สถาปัตยกรรมแบบไฮบริดของอินเทลกันสักหน่อยครับ ดูความเป็นมาเริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน ก็ถือว่าเป็นการทบทวนความรู้เดิมและเตรียมพร้อมก่อนจะไปเรียนรู้ข้อมูลใหม่ ๆ ในอีกสองสามวันข้างหน้าครับ
แต่เดิมอินเทลได้พัฒนาคอร์ประมวลผลแยกกันสำหรับแต่ละประเภทการใช้งานไว้ก่อนแล้ว สำหรับหน่วยประมวลผลประเภทต่าง ๆ โดยพัฒนาคอร์แบบประหยัดพลังงาน และคอร์ประสิทธิภาพสูง ซึ่งแต่เดิมก็ไม่ได้มีแนวคิดว่าจะนำมาใช้งานร่วมกันบนซีพียูตัวเดียวกัน แต่เป็นการแยกประเภทไปเลย
อย่างไรก็ตามพอมาถึงในยุคที่อุปกรณ์แบบพกพาต้องการประหยัดพลังงานมาก ๆ อินเทลจึงได้ทดลองนำคอร์ทั้งสองประเภทมาใช้งานร่วมกันภายในระบบเดียวกัน เริ่มต้นจาก Lakefield ที่ถือว่าเป็นต้นแบบและการทดลองแรกมีเฉพาะผลิตภัณฑ์บางกลุ่ม จากนั้นก็มี Alder Lake หรือ คอร์ เจนฯ 12 ซึ่งถือว่าเป็นการลงตลาดในระดับแมสของซีพียูแบบไฮบริดคือมีทั้งเดสก์ท็อปและโน้ตบุ๊ก จากนั้นก็ทำต่อเรื่อย ๆ กับ Raptor Lake, Meteor Lake, Lunar Lake และกำลังจะส่งต่อไปยัง Panther Lake

จุดเริ่มต้นของสถาปัตยกรรมไฮบริด
สถาปัตยกรรมไฮบริดของอินเทลเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการด้วยชิป Lakefield (ประมาณ 5 ปีที่แล้ว) ซึ่งในขณะนั้นยังไม่มีการเรียกคอร์ว่า P-core หรือ E-core แต่มีคอร์ประเภทหนึ่งที่เน้นประสิทธิภาพเรียกว่า Big CPU และคอร์อีกอีกประเภทที่เน้นประหยัดพลังงานเรียกว่า Small CPU โดยมีจุดประสงค์หลักเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานสูงสุดสำหรับผลิตภัณฑ์เฉพาะกลุ่ม อย่างไรก็ตาม จาก Lakefield ได้มีการเรียนรู้ที่สำคัญเกี่ยวกับการใช้งานด้านซอฟต์แวร์ การจัดการฮาร์ดแวร์ และการเปิดใช้งานระบบนิเวศซอฟต์แวร์ เพื่อให้รองรับแนวทางนี้ นอกจากเป็นการทดลองการผสมผสานคอร์ประมวลผลหลายประเภทแล้วในเวลานั้นยังเป็นการทดลองการผลิตชิปด้วยแนวคิดแบบ Stack + Modular คือการซ้อนทับกันของ Die และยังสามารถปรับเปลี่ยน Die หลายประเภทเข้าหรือออกตามความต้องการของชิปแต่ละตัวได้อีกด้วย

Alder Lake: ก้าวสำคัญสู่สถาปัตยกรรมไฮบริดเต็มรูปแบบ
Alder Lake หรืออินเทล คอร์ เจนฯ 12 ถือเป็นผลิตภัณฑ์ไฮบริดขนาดใหญ่ตัวแรกที่อินเทลนำเสนอ โดยเน้นการใช้ P-core และ E-core เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุด การนำ E-core มาอยู่บนวงแหวน (ring) เดียวกันกับ P-cores และใช้เทคโนโลยีอย่าง Thread Director ช่วยในการจัดการการจัดสรรงาน (scheduling) ได้อย่างเหมาะสม และซีพียูระดับเรือธงมาพร้อมกับ 8 P-core และ 8 E-core รวมเป็น 16 เธรด นั้นได้รับการตอบรับที่ดี

การออกแบบระบบไฮบริดมีความซับซ้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องจัดการกับอินเทอร์เฟซและรูปแบบการจัดการพลังงานที่แตกต่างกันของ P-core และ E-core แม้ว่าคอร์ทั้งสองประเภทจะใช้ชุดคำสั่ง (ISA) เดียวกันเกือบร้อยเปอร์เซนต์ แต่ก็มีข้อกำหนดที่แตกต่างกัน โดย E-core มักจะมี CPU Clock หรือความถี่การทำงานที่ต่ำกว่าและเน้นการประหยัดพลังงานมากกว่า การจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพถือเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จของสถาปัตยกรรมนี้
การพัฒนาของ E-core และ Low Power Island (LP E-core)
E-core ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ โดยเริ่มจาก Alder Lake, Meteor Lake, Arrow Lake และ Lunar Lake โดยมีทั้ง CPU Clock ของ E-core ที่เพิ่มขึ้นและและจำนวนของ E-core ที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้อินเทลยังได้พัฒนา “Low Power Island” ซึ่งเป็นส่วนที่แยกออกมาต่างหากบนชิปประมวลผล โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานให้สูงสุดสำหรับการทำงานที่ไม่ซับซ้อน เช่น การดูวิดีโอหรือการประชุมออนไลน์ ซึ่งช่วยให้สามารถปิด P-core และ E-core ประหยัดพลังงานได้มากขึ้น หรือเวลาที่อยู่ในโหมด standby
ถ้าดูในรูปด้านล่างนี้ (กรอบสีเขียว) เราจะเห็นได้ว่า Low Power Island หรือ LP E-core นั้นจะแยกออกมาจาก Compute Tile ซึ่งเป็นตำแหน่งของแกนประมวลผลหลังอย่าง P-core และ E-core การทำแบบนี้จะทำให้ซีพียูสามารถทำการเปิด Compute Tile ลงไปได้แบบ 100% ในกรณีที่ไม่มีงานที่ต้องใช้เวิร์คโหลดขนาดหนัก โดยใช้การประมวลผลเบา ๆ ทำงานอยู่บน SoC Tile ที่เชื่อมต่อกับส่วนควบคุมต่าง ๆ แทน ทำให้ระบบทั้งหมดยังคงความสามารถในการประมวลผลไว้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการแสดงผลบนหน้าจอ หรือการเข้าถึงข้อมูลในหน่วยความจำ (RAM) ก็ยังทำงานได้ตามปกติโดยไม่ได้รับผลกระทบ

Low Power Island ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มจาก Meteor Lake ที่มี LP E-core สองตัว และขยายไปสู่ Lunar Lake ที่มี LP E-cores สี่ตัว เพื่อรองรับงานที่หลากหลายมากขึ้น การพัฒนานี้รวมถึงการปรับปรุงซอฟต์แวร์เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จาก Low Power Island ได้อย่างเต็มที่ โดยมีแนวคิดการจัดสรรงานแบบ “Heteroscheduling” ซึ่งช่วยให้ระบบปฏิบัติการสามารถเลือกใช้คอร์ที่เหมาะสมที่สุดตามสถานการณ์ เช่น การใช้ LP E-core บน Low Power Island เมื่อต้องการประหยัดพลังงาน หรือย้ายไปใช้ P-core บน Compute Tile เมื่อต้องการประสิทธิภาพที่สูงขึ้น
Thread Director: ระบบจัดการการจัดสรรงานอัจฉริยะ
เมื่อมีคอร์ประมวลหลายแบบ อินเทลจำเป็นต้องเพิ่มสิ่งที่เรียกว่า “Thread Director” เข้ามา ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่อินเทลพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยให้ระบบปฏิบัติการ (OS) สามารถจัดสรรงานไปยังคอร์ประมวลผลที่เหมาะสมที่สุดได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยอาศัยข้อมูลที่ได้รับจากฮาร์ดแวร์เกี่ยวกับประสิทธิภาพและข้อจำกัดของแต่ละคอร์ ระบบนี้จะส่ง “คำแนะนำ” (hint) ไปยัง OS เพื่อให้ตัดสินใจเลือกคอร์ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแต่ละเธรด (thread) ของงาน ลดภาระของ OS ในการต้องจัดการรายละเอียดปลีกย่อยของฮาร์ดแวร์แต่ละรุ่น กระบวนการของ Thread Director เองก็มีการปรับเปลี่ยนไปตามความเหมาะสมของสถาปัตยกรรมซีพียูในแต่ละรุ่นด้วยเช่นกัน
การพัฒนาสถาปัตยกรรมไฮบริดและ Thread Director ต้องอาศัยความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับพันธมิตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ Microsoft ซึ่งเป็นผู้พัฒนาระบบปฏิบัติการหลัก Intel ได้ทำงานร่วมกับ Microsoft อย่างใกล้ชิดเพื่อพัฒนาอินเทอร์เฟซและกลไกการสื่อสารที่เหมาะสม เพื่อให้ OS สามารถใช้ประโยชน์จากคำแนะนำของ Thread Director ได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ยังมีการทำงานร่วมกับผู้ผลิต OEM และผู้พัฒนารายอื่นๆ เพื่อให้แน่ใจว่าซอฟต์แวร์และระบบสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น

ประโยชน์ของ Thread Director และการจัดการพลังงาน
Thread Director ช่วยให้ผู้ใช้ได้รับทั้งประสิทธิภาพและความประหยัดพลังงาน โดยการจัดสรรงานที่ต้องการประสิทธิภาพสูงไปยัง P-cores และงานที่ไม่ซับซ้อนไปยัง E-cores นอกจากนี้ยังช่วยในการจัดการพลังงาน โดยสามารถแนะนำให้ OS ใช้ E-cores ที่อยู่ใน “Low Power Island” ซึ่งประหยัดพลังงานมากกว่า ในกรณีที่ระบบทำงานโดยใช้พลังงานแบตเตอรี่ การทำงานร่วมกันระหว่างฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ผ่าน Thread Director ช่วยให้ระบบสามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาวะแวดล้อมการใช้งานที่แตกต่างกัน เช่น การทำงานแบบเสียบปลั๊กหรือใช้แบตเตอรี่ เพื่อให้ได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุด
Intel ได้เปิดโอกาสให้ลูกค้า เช่น OEM สามารถปรับแต่งการทำงานของระบบได้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของการจัดการพลังงาน ระบบสามารถรับ “เจตนา” (intent) จากแพลตฟอร์ม เช่น การเลือกโหมด “Cool and Quiet” หรือการแจ้งเตือนเมื่อระบบมีความร้อนสูงเกินไป เพื่อนำไปปรับการจัดการพลังงานและทรัพยากร เช่น ความถี่ของคอร์ ให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้ใช้งาน โดยไม่กระทบต่อประสบการณ์การใช้งานที่คาดหวัง
ความท้าทายในการพัฒนาและเป้าหมายสู่ Panther Lake
ความท้าทายที่สำคัญในการพัฒนาสถาปัตยกรรมไฮบริดคือการรวมสองสถาปัตยกรรมไมโครที่แตกต่างกันบนชิปเดียว การจัดการการจัดสรรงานให้เหมาะสม และการพัฒนาระบบนิเวศซอฟต์แวร์ Intel ได้ใช้แพลตฟอร์มจำลอง (emulation platforms) เพื่อทดสอบและปรับปรุงอินเทอร์เฟซก่อนที่จะได้ชิปจริง ทำให้มั่นใจได้ว่าระบบจะทำงานได้อย่างถูกต้องตั้งแต่เริ่มต้น สำหรับอนาคต Intel มุ่งมั่นที่จะพัฒนาคอร์ประมวลผลให้มีความคล้ายคลึงกันมากขึ้น เพื่อให้การพัฒนาและการทำงานร่วมกันมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และส่งมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้นให้กับผู้ใช้งาน

ทั้งหมดที่นำเสนอมานี้ก็คิดว่าน่าจะพอทำให้คุณผู้อ่านได้เห็นแนวทางในการพัฒนาซีพียูที่ใช้สถาปัตยกรรมแบบไฮบริดของอินเทลกันมากขึ้นแล้วนะครับ และอย่างที่กล่าวไว้ในต้นบทความว่าอีกสองสามวันเราได้เห็นการเปิดเผยข้อมูลที่มากขึ้นของ Panther Lake ซึ่งจะเป็นซีพียูสำหรับแล็ปท็อปหรือโน้ตบุ๊กรุ่นถัดไปของอินเทล ซึ่งในเบื้องต้นอินเทลเคยเปิดเผยมานิดหน่อยในงานของ Acer ว่า Panther Lake จะเป็นการผสานประสิทธิภาพของ Core Ultra H/HX (Arrow Lake-H) ที่มุ่งเน้นเรื่องประสิทธิภาพ และ Core Ultra 200V (Luna Lake) ที่เน้นการประหยัดพลังงาน เข้าด้วยกันนั่นหมายความว่าต่อไปบนแพลตฟอร์มแล็ปท็อปอินเทลจะมีสถาปัตยกรรมเดียวนั่นคือ Panther Lake เท่านั้น ซึ่งก็เป็นเรื่องดีเพราะเราไม่ต้องไปเสียเวลาเปรียบเทียบคุณสมบัติในการทำงานในเชิงลึกมากนัก
อ้อ! แต่ก็จะลืมไม่ได้เพราะในอนาคตอินเทลเองก็จะมีซีพียูเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งสายการผลิตนั่นก็คือชิป SoC ที่ใช้ CPU x86 ของอินเทล รวมกับ iGPU ที่เป็น RTX ของ NVIDIA เข้ามาอยู่ในสมการด้วย แต่กว่าจะถึงวันนั้นก็คงจะมีเวลาอีกสักปี เอาเป็นว่าตอนนี้เรามาตั้งตารอการมาของ Panther Lake กันก่อนดีกว่าครับ
ภาคผนวก รหัสคอร์ซีพียู ที่แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของการใช้ P-core, E-core และ LP E-core
ชื่อรหัสของ P-Core และ E-Core ของ Intel มีการเปลี่ยนแปลงตามแต่ละเจเนอเรชัน โดยเริ่มต้นจาก Golden Cove และ Gracemont ใน Alder Lake จนถึง Lion Cove และ Skymont ใน Arrow Lake และ Lunar Lake
P-Core (Codename)
| Generation | Codename | ปีเปิดตัว |
|---|---|---|
| Alder Lake | Golden Cove | 2021 |
| Raptor Lake | Raptor Cove | 2022 |
| Meteor Lake | Redwood Cove | 2023 |
| Arrow Lake | Lion Cove | 2024 |
| Lunar Lake | Lion Cove (Refresh) | 2024 |
| Panther Lake (คาดการณ์) | Cougar Cove | 2025+ |
E-Core (Codename)
| Generation | Codename | ปีเปิดตัว |
|---|---|---|
| Alder Lake | Gracemont | 2021 |
| Raptor Lake | Gracemont (Refresh) | 2022 |
| Meteor Lake | Crestmont | 2023 |
| Arrow Lake | Skymont | 2024 |
| Lunar Lake | Skymont (Refresh) | 2024 |
| Panther Lake (คาดการณ์) | Darkmont | 2025+ |
- Golden Cove เป็น P-Core รุ่นแรกที่ใช้ในสถาปัตยกรรม Hybrid ของ Intel
- Gracemont เป็น E-Core รุ่นแรกที่เน้นประหยัดพลังงานและรองรับงานเบา ๆ
- Lion Cove และ Skymont เป็นชื่อรหัสล่าสุดที่ใช้ใน Arrow Lake และ Lunar Lake ซึ่งเป็นเจเนอเรชันใหม่ที่ใช้ Intel 3 node และเน้นประสิทธิภาพสูงในอุปกรณ์พกพา
LP E-Core (Codename)
| Generation | LP E-Core Codename | สถาปัตยกรรมหลัก |
|---|---|---|
| Meteor Lake | Crestmont | Intel 4 |
| Lunar Lake / Arrow Lake | Skymont | Intel 20A |
- Crestmont: ปรากฏใน Meteor Lake ซึ่งเป็นชิปแบบ Multi-Tile ตัวแรกของ Intel โดย LP E-Core อยู่ใน SoC Tile
- Skymont: เป็นรุ่นต่อไปที่ใช้ใน Arrow Lake และ Lunar Lake โดยเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพต่อวัตต์และรองรับงาน AI เบื้องต้น
- รองรับ VNNI (Vector Neural Network Instructions) สำหรับงาน AI เบื้องต้น
- ไม่รองรับ AVX-512 เพื่อประหยัดพลังงานและลดความซับซ้อนของวงจร

You must be logged in to post a comment.