ครั้งก่อนเราได้ทำบทความเปรียบเทียบการอัปเกรดซีพียู Ryzen 2000 Series ไปเป็น Ryzen 5000 Series บนซ็อกเก็ต AM4 กันไปแล้ว ซึ่งผลการทดสอบครั้งนั้นก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าการอัปเกรดนั้นมีความคุ้มอย่างอย่างมาก เพราะผู้ใช้เปลี่ยนเพียงแค่ซีพียูอย่างเดียว หรือซีพียูกับชุดระบายความร้อน เท่านั้น ทุกอย่างยังคงใช้ของเดิมได้
แต่สำหรับคนที่ใช้งานซีพียูกลุ่มประสิทธิภาพสูงอย่าง Ryzen 9 5900X อยู่แล้ว และอยากจะอัปเกรดก็ทำได้สองทางคือขยับไปเป็น Ryzen 9 5950X รุ่นท็อปสุด 16 คอร์ 32 เธรด หรืออีกทางเลือกหนึ่งก็คือย้ายข้ามจากแพลตฟอร์ม AM4 มาเป็นแพลตฟอร์ม AM5 ที่ต้องเปลี่ยนทั้งเมนบอร์ด และแรมอีกด้วย เพราะแพลตฟอร์มใหม่นี้ต้องการแรมแบบ DDR5 เท่านั้น
เราเชื่อว่าคนที่ใช้ Ryzen 9 5900X ถ้าจะอัปเกรดทั้งทีก็คงจะอัปเกรดแบบข้ามแพลตฟอร์มไปเลยดีกว่า ดังนั้นในบทความครั้งนี้เราจะนำซีพียู Ryzen 9 5900X ที่เป็นซีพียูแบบ 12 คอร์ 24 เธรด มาเทียบกับ Ryzen 9 7900X ซึ่งเป็นซีพียูแบบ 12 คอร์ 24 เธรด เท่าเดิม แต่ว่าเป็นสถาปัตยกรรม Zen 4 ใหม่ล่าสุดจะให้ประสิทธิภาพในการทำงานที่แตกต่างกันเพียงใด
Ryzen 9 7900X VS Ryzen 9 5900X
Ryzen 9 7900X | Ryzen 9 5900X | |
Codename | Raphael AM5 | Vermeer |
Core Architecture | Zen 4 | Zen 3 |
# of CPU Cores | 12 | 12 |
# of Threads | 24 | 24 |
Max. Boost Clock | Up to 5.6GHz | Up to 4.8GHz |
Base Clock | 4.7GHz | 3.7GHz |
L2 Cache | 12MB | 6MB |
L3 Cache | 64MB | 64MB |
Default TDP | 170W | 105W |
Integrated Graphics | Radeon™ Graphics 2CU | No |
Processor Technology for CPU Cores | TSMC 5nm FinFET | TSMC 7nm FinFET |
Processor Technology for I/O Die | TSMC 6nm FinFET | 12 nm GoFlo |
Chiplet Design | 2 x CCD / 1 x IOD | 2 x CCD / 1 x IOD |
Unlocked for Overclocking | Yes | Yes |
CPU Socket | AM5 | AM4 |
Max. Operating Temperature (Tjmax) | 95°C | 90°C |
Launch Date | 9/27/2022 | 11/5/2020 |
PCI Express® Version | PCIe 5.0 | PCIe 4.0 |
System Memory Type | DDR5 | DDR4 |
System Memory Specification | Up to 5200MHz | Up to 3200MHz |
ถ้าดูจากสเปคแบบยังไม่ต้องไปเจาะลึกเรื่องสถาปัตยกรรมใหม่ เพียงเท่านี้เราก็พอมองเห็นความแตกต่างได้บ้างแล้ว อย่างเช่นความเร็ว Base Clock ที่ต่างกันราว 1GHz รวมไปถึง Boost Clock ที่ Ryzen 9 7900X สามารถทะลุระดับ 5.5GHz ไปได้อย่างไม่ยากเย็น รวมไปถึงการใช้หน่วยความจำที่ใหม่กว่าอย่าง DDR5 ที่รองรับความเร็วระดับ 5200MHz และถ้าใช้แรม DDR5 ประสิทธิภาพสูงที่สามารถโอเวอร์คล็อกได้เราก็จะได้เห็น DDR5 ความเร็วในระดับ 6000MHz (DDR) กันเลยทีเดียว
ทางด้านเทคโนโลยีการผลิตใน Ryzen 7000 Series ก็มีความก้าวหน้าไปมาก โดยในส่วนของ CCD ได้เปลี่ยนจากเทคโนโลยี 7nm ลงมาเป็น 5nm แต่ยังคงใช้ของ TSMC เหมือนเดิม แต่นั่นก็ต้องแลกมาด้วยค่า TDP ที่เพิ่มขึ้นจาก 105W มาเป็น 170W ซึ่งมันก็ต่างกันมากถึง 65W แต่พอทดสอบเข้าจริง ๆ เราก็พบว่าแม้จะใช้พลังงานเพิ่มขึ้น แต่เรื่องอุณหภูมินั้นกลับสามารถคุมอยู่ในเกณฑ์ที่กำหนดและปลอดภัย ซึ่งเราจะไปพูดถึงกันในช่วงของการทดสอบ
ทำความรู้จักสถาปัตยกรรม Zen 4
ซีพียูสถาปัตยกรรม Zen 4 ใช้ชื่อรหัสว่า Raphael AM5 ซึ่งบ่งบอกถึงการเป็นซีพียูสำหรับเดสก์ท็อปพีซี โดยจะใช้กับซีพียูในกลุ่ม Ryzen 7000 Series ทั้งหมดที่ทำงานร่วมกับเมนบอร์ดซ็อกเก็ต AM5 ในภาพรวมสถาปัตยกรรม Zen เจนเนอร์เรชันที่ 4 นี้มีการเพิ่มคุณสมบัติการทำงานเข้าไปมากพอสมควรเมื่อเทียบกับสถาปัตยกรรม Zen 3
ในซีพียู Ryzen 7000 Series นี้ก็ยังคงใช้การออกแบบในลักษณะของ Chiplet เช่นเดิมที่มีมาตั้งแต่ยุค Ryzen 3000 Series จนมาถึงยุคของ Ryzen 5000 Series ก็ยังคงใช้การออกแบบในลักษณะนี้อยู่ เพียงแต่ตัวแพ็คเกจของซีพียูที่เคยเป็นแบบ PGA (Pin Grid Array) ได้ถูกปรับมาเป็นลักษณะของ LGA (Land Grid Array) หรือที่เราเรียกกันง่าย ๆ ว่าเป็นซีพียูแบบไร้ขานั่นเอง
สำหรับรายละเอียดอื่น ๆ ของสถาปัตยกรรม Zen 4 ก็พอที่จะสรุปย่อได้ดังนี้ครับ
- CCD (Core Complex Die) หรือส่วนที่เป็น Die สำหรับคอร์ของซีพียูนั้นผลิดด้วยเทคโนโลยี 5nm FinFET จาก TSMC ในขณะที่ CCD ของ Zen 3 (Ryzen 5000 Series) ใช้กระบวนการผลิตแบบ 7nm FinFET การลดขนาดของกระบวนการผลิตนี้ทำให้เอเอ็มดีสามารถเพิ่ม CPU Clock ให้สูงขึ้นในขณะที่มีอุณหภูมิการทำงาน TjMAX อยู่ในเกณฑ์ที่ใกล้เคียงกัน
- ส่วน IOD หรือ (Input Output Die) ใช้กระบวนการผลิตแบบ 6nm FinFET จาก TSMC เช่นกัน และถือเป็นความก้าวหน้าอย่างมากเมื่อเทียบกับ IOD ของ Zen 3 ที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบ 12nm จาก Global Foundry การปรับปรุงในส่วนนี้ทำให้ Zen 4 สามารถเพิ่มการเชื่อมต่อกับหน่วยความจำแบบ DDR5 ได้ในความเร็วที่สูง รวมไปถึงสามารถเพิ่มส่วนสำคัญของการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่น ๆ ด้วยความเร็วที่สูงขึ้น
- รองรับชุดคำสั่ง AVX512 ซึ่งให้ประสิทธิภาพในการทำงานในลักษณะของ SIMD สูงขึ้น 100% เมื่อเทียบกับชุดคำสั่งแบบ AVX256
- รองรับหน่วยความจำแบบ DDR5 ที่ความเร็วมาตรฐาน 5200MT/s และถ้าใช้กับหน่วยความจำที่รองรับมาตรฐาน EXPO ของ AMD ก็อาจจะทำให้หน่วยความจำเหล่านี้ทำงานได้สูงถึง 6000MT/s หรือมากกว่า
- ใน Zen 4 เอเอ็มดีได้เพิ่มขนาดแคช L2 ให้ใหญ่ขึ้น โดยมี L2 สูงสุดที่ 1MB ต่อหนึ่งคอร์ของซีพียู (ในขณะที่ Zen 3 มีแคช L2 สูงสุดที่ 512KB ต่อคอร์)
- CPU Clock ที่สูงขึ้น ถ้าดูจากซีพียูแบบรุ่นต่อรุ่นอย่างเช่นในกรณีของ Ryzen 9 7900X และ Ryzen 9 5900X นั้น Base Clock ถูกปรับเพิ่มจาก 3.7GHz ใน Zen3 มาเป็น 4.7GHz ใน Zen4 รวมไปถึง Max Boost Clock ก็ปรับเพิ่มจาก 4.8GHz มาเป็น 5.7GHz
- รองรับ PCIe 5.0 สูงสุด 24 เลน โดยแต่ละเลนให้แบนด์วิดธ์เป็นสองเท่าเมื่อเทียบกับ PCI3 4.0
- นอกจากนี้แล้วซีพียู Ryzen 7000 Series ทุกรุ่นยังมาพร้อมกับ Radeon Graphics (RNDA2) ในตัว แม้จะไม่ใช้กราฟิกที่มีประสิทธิภาพสูง แต่ก็มีคุณสมบัติในการทำงานด้านพื้นฐานอย่างครบครันรวมไปถึงเรื่องของการเข้ารหัสและการถอดรหัสวิดีโอในระดับฮาร์ดแวร์อีกด้วย
เมนบอร์ดซ็อกเก็ต AM5 และชิปเซต AMD 600 Series
จากซีพียูที่ใช้สถาปัตยกรรม Zen รุ่นแรก Ryzen 1000 Series มาจนถึง Zen3 คือ Ryzen 5000 Series แม้ว่าทางเอเอ็มดีจะมีการเปลี่ยนรุ่นของชิปเซตไปพร้อมกับออกซีพียูเจนฯใหม่ แต่ว่าซ็อกเก็ตที่ใช้งานนั้นก็ยังคงเป็นซ็อกเก็ต AM4 มาตั้งแต่ปี 2017 จนมาถึงปี 2022 และตามข้อมูลอย่างเป็นทางการซ็อกเก็ต AM4 ยังคงอยู่ในสายการผลิตไปจนถึงสิ้นปี 2023 เป็นอย่างน้อย
การอยู่กับซ็อกเก็ตเดิมเป็นเวลานานก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีก็คือทำให้ผู้ใช้สามารถอัปเกรดเฉพาะซีพียูได้ ในขณะที่ยังคงใช้เมนบอร์ดรุ่นเดิม ส่วนปัญหาที่เราพบเห็นได้บ่อยที่สุดในระหว่างการใช้งานซ็อกเก็ต AM4 ก็คือทุกครั้งที่มีการออกซีพียูใหม่ มักจะมีปัญหาเรื่องการใช้งานร่วมกับเมนบอร์ดรุ่นเก่าที่ยังไม่ได้อัปเดตไบออส ซึ่งจะเกิดขึ้นบ่อยมากสำหรับคนที่ซื้อเมนบอร์ดรุ่นก่อนหน้าไปใช้งานร่วมกับซีพียูรุ่นล่าสุด เพราะบางทีเมนบอร์ดนั้นยังไม่ได้รับการอัปเดตไบออส ทำให้ทั้งผู้ขายและผู้ซื้อต้องวุ่นวายไปหาซีพียูมาเพื่อช่วยแก้ปัญหา
พอมาถึงยุคของ AM5 ที่เอเอ็มดีเองก็ได้ประกาศออกมาแล้วว่าจะเป็นซ็อกเก็ตที่ใช้งานต่อเนื่องยาวนานเหมือน AM4 และเพื่อเป็นการป้องกันปัญหาเรื่องความวุ่นวายของการอัปเกรดไบออส ทางเอเอ็มดีจึงกำหนดให้เมนบอร์ดและไบออสของแพลตฟอร์ม AM5 จะมีคุณสมบัติการอัปเกรดไบออสโดยไม่ต้องใช้ซีพียู แค่ต่อสายพาเวอร์เข้ากับเมนบอร์ด เสียบ USB Drive ที่มีไฟล์ไบออสรุ่นใหม่ จากนั้นก็กดปุ่มแฟลชไบออสที่เมนบอร์ด เพียงเท่านี้เมนบอร์ดก็จะไดัรับการอัปเดตไบออสใหม่โดยที่ไม่ต้องติดตั้งซีพียูและอุปกรณ์อื่น ๆ นับว่าเป็นเรื่องที่สะดวกมากครับ
กลับมาดูเรื่องของเมนบอร์ซ็อกเก็ต AM5 และชิปเซต 600 Series กันต่อครับ
ในตอนเปิดตัวเมนบอร์ด AM5 ทางเอเอ็มดีบอกกับเราว่าจะมีชิปเซตที่ใช้งานร่วมกับซีพียู Ryzen 7000 อยู่ด้วยกันทั้งหมด 4 รุ่นคือ X670E, X670, B650E และ B650 ซึ่งชิปเซตแต่ละรุ่นจะมีคุณสมบัติในการทำงานที่แตกต่างกันดังนี้
ดูจากตารางสเปคของชิปเซตแล้วอาจจะงง ถ้าเราตัดเรื่องจำนวนพอร์ตต่าง ๆ ออกไปสิ่งที่แตกต่างกันจริง ๆ ของชิปเซตแต่ละรุ่นก็คือ
- X670E/B650E จะได้ทั้ง PICe 5.0 GPU และ PCIe 5.0 M.2
- X670 จะได้ PCIe 5.0 M.2 หรือ PCIe 5.0 GPU อย่างใดอย่างหนึ่งแล้วแต่ผู้ผลิตเมนบอร์ด แต่ดูจากแนวโน้มแล้วผู้ผลิตเมนบอร์ดส่วนใหญ่จะเลือกให้ PCIe 5.0 M.2 เป็นหลักมากกว่า
- B650 อาจจะได้ PCIe 5.0 M.2 แล้วแต่ผู้ผลิตเมนบอร์ด (ปกติจะเป็น PCIe 4.0 ทั้งหมด)
ข้อมูลเบื้องต้นทั้งหมดนี้ก็คิดว่าน่าจะเพียงพอต่อการทำความเข้าใจของซีพียู AMD Ryzen 9 7900X และรวมไปถึงซีพียู Ryaen 7000 Series รุ่นอื่น ๆ ได้พอสมควรแล้วนะครับ ส่วนรายละเอียดแบบเจาะลึกลงสถาปัตยกรรมของ Zen 4 กำลังเรียบเรียงข้อมูลอยู่ครับ สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับสเปคซีพียูรุ่นอื่น ๆ ดูข้อมูลได้ที่เว็บไซต์ของเอเอ็มดีโดยตรงครับ AMD Ryzen™ 7000 Series Desktop Processors | AMD
อุปกรณ์ที่ใช้ในการทดสอบ
- AM4:
- CPU: Ryzen 9 5900X (12C/24T)
- Mainboard: ASRock B550 Steel Legend
- RAM: Thermaltake TOUGHRAM RGB DDR4 4000MHz (8GBx2)
- AM5:
- CPU: Ryzen 9 7900X (12C/24T)
- Mainboard: ASRock X670E Taichi
- RAM: G.SKILL Trident Z5 Neo DDR5-6000 (AMD EXPO) 16GBx2
- CPU Cooling: Thermaltake TOUGHLIQUID Ultra 360
- Graphics: Radeon RX 6800 XT
- SSD NVMe: Transcend TS512GMTE220S (512 GB, PCI-E 3.0 x4)
- PSU: Thermaltake TOUGHPOWER GRAND RGB 650W GOLD
ทดสอบด้วย AIDA64 Cache & Memory Benchmark
ถ้าดูผลการทดสอบในส่วนของ Memory จะเห็นได้ว่า Ryzen 9 7900X นั้นมีแบนด์วิดธ์ของหน่วยความจำเพิ่มขึ้นมาอย่างมากมายเลยทีเดียว โดยเฉพาะการเขียน (Write) ความเร็วที่ได้นั้นโปรแกรมที่ทดสอบต้องเลื่อนหน่วยให้อยู่ในระดับ GB/s กันเลยทีเดียว ไม่อย่างนั้นตัวเลขจะล้นช่องแสดงผลออกมา ส่วนความเร็ว Read และ Copy ทาง Ryzen 9 7900X ก็เร็วกว่าเช่นกัน มาดูทางด้านหน่วยความจำแคช Ryzen 9 7900X ก็ทำได้เร็วกว่าทั้งนี้เป็นเพราะความเร็วของ CPU Clock ที่เพิ่มขึ้นมาด้วยนั่นเอง
ทดสอบด้วย AIDA64 GPGPU Benchmark (x86 CPU)
อีกหนึ่งเครื่องมือที่ใช้วัดพลังในการประมวลผลของซีพียูได้เป็นอย่างดีก็คือการทดสอบด้วย AIDA64 GPGPU Benchmark แม้ว่าการทดสอบนี้จะถูกออกแบบมาเพื่อทดสอบการประมวลผลทั่วไปของ GPU เป็นหลัก แต่ทางผู้พัฒนาก็มีการตั้งเงื่อนไขการทำงานโดยใช้ชุดคำสั่ง x86 ของซีพียูทำงานในลักษณะเดียวกัน เราจึงนำเครื่องมือนี้มาใช้ในการทดสอบเปรียบเทียบการทำงานของ CPU แต่ละรุ่นด้วยเช่นกัน
AIDA64 Memory (x86)
การทดสอบหน่วยความจำในส่วนที่จะใช้วิธีการเข้าถึงข้อมูลในหน่วยความจำที่แตกต่างไปจากการทดสอบในหัวข้อ Cache & Memory Benchmark แต่ในภาพรวมหน่วยความจำ DDR5-6000 นั้นก็ได้แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการทำงานที่แตกต่างอย่างชัดเจน
AIDA64 Memory | Ryzen 9 7900X | Ryzen 9 5900X | % |
Memory Read (MB/s) | 74941 | 58955 | 21% |
Memory Write (MB/s) | 77404 | 55285 | 29% |
Memory Copy (MB/s) | 68774 | 51882 | 25% |
AIDA64 Integer (x86)
คะแนนการประมวลผลทางด้าน Int ของ Zen 4 นั้นเพิ่มขึ้นมามากพอดูเมื่อเทียบกันคอร์ต่อคอร์ ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มความเร็วของ Core Clock ส่วนหนึ่งและอีกส่วนหนึ่งก็มาจากการปรับปรุงสถาปัตยกรรมภายในด้วยนั่นเอง โดนเฉพาะในส่วนของ 64-bit Int นั้นใน Zen 4 ให้ประสิทธิภาพในการทำงานที่เกินจากที่เราคาดการไปมาก
AIDA64 Integer | Ryzen 9 7900X | Ryzen 9 5900X | % |
Single-Precision (GFLOPS) | 2045 | 1730 | 15% |
Double-Precision (GFLOPS) | 1021 | 864.2 | 15% |
24-bit integer IOPS (GIOPS) | 1769 | 1381 | 22% |
32-bit integer IOPS (GIOPS) | 1768 | 1380 | 22% |
64-bit integer IOPS (GIOPS) | 884.3 | 109.5 | 88% |
AIDA64 Crypto (x86)
ประสิทธิภาพประมวลผลด้านการเข้ารหัสเราคิดว่า Ryzen 9 5900X ก็ทำได้ค่อนข้างสูงแล้ว เพราะเป็นซีพียูแบบ 12 คอร์ 24 เธรด แต่พอเปลี่ยนมาเป็นสถาปัตยกรรม Zen 4 ใน Ryzen 9 7900X ประสิทธิภาพในการทำงานก็ยิ่งสูงขึ้นไปอีก
AIDA64 Crypto | Ryzen 9 7900X | Ryzen 9 5900X | % |
AES-256 | 284341 | 220677 | 22% |
SHA-1 Flash | 56040 | 49218 | 12% |
AIDA64 Compute (x86)
หัวข้อนี้เป็นการทดสอบด้วยการหาค่าตัวเลขที่มีความแม่นยำสูงแล้วนำมาสร้างภาพกราฟิกในแบบ off screen จึงทำให้ผลของการทดสอบออกมาในรูปแบบของ FPS หรือเฟรมต่อวินาที
AIDA64 Compute | Ryzen 9 7900X | Ryzen 9 5900X | % |
Single-Precision Julia (FPS) | 1002 | 820.8 | 18% |
Double-Precision Mandel (FPS) | 530.5 | 449.9 | 15% |
ทดสอบด้วย 3DMark CPU Profile
3DMark CPU Profile เป็น Benchmark ใหม่ที่เพิ่มเติมเข้ามาในช่วงปีนี้เพื่อต้อนรับการมาของซีพียูรุ่นใหม่ ๆ ทั้งทางฝั่งอินเทลและเอเอ็มดี การทดสอบของ CPU Profile จะมีลักษณะดังนี้ครับ ในส่วนของ Max Threads นั้นจะเป็นการมอบหมายงานตามจำนวนเธรดที่ซีพียูรุ่นนั้น ๆ รองรับ เช่น Ryzen 9 7900X เป็นซีพียุแบบ 12 คอร์ 24 เธรด ในการทดสอบ Max Threads ก็จะใช้ทั้ง 24 เธรดในการทดสอบ ส่วนการทดสอบอื่น ๆ เช่น 1 Thread, 2 Threads, 4 Threads, 8 Threads และ 16 Threads นั้นเป็นการมอบหมายให้ซีพียูทำงานโดยไม่ได้คำนึงถึงจำนวนเธรดของซีพียูรุ่นนั้น ๆ ครับ แม้เราจะทดสอบกับซีพียูที่เป็นแบบ 8 เธรด ก็ยังต้องรองรับการทดสอบแบบ 16 Threads จากโปรแกรมอยู่ดี และคะแนนที่สูงกว่าก็แสดงถึงประสิทธิภาพในการทำงานที่ดีกว่าครับ
3DMark CPU Profile | Ryzen 9 7900X | Ryzen 9 5900X | % |
Max Threads | 12907 | 10840 | 16% |
16 Threads | 11396 | 9950 | 13% |
8 Threads | 8051 | 6850 | 15% |
4 Threads | 4248 | 3669 | 14% |
2 Threads | 2195 | 1897 | 14% |
1 Thread | 1109 | 968 | 13% |
ทดสอบด้วย CINEBENCH R23
มาถึงการทดสอบด้านการทำงานกับ Benchmark ยอดนิยมอย่าง CINEBENCH R23 กันบ้างครับ ประสิทธิภาพโดยรวมถือว่าสูงขื้นมาก งานแบบ Single Core เพิ่มขึ้นที่ 19% และงานแบบ Multi-Core เพิ่มขึ้นถึง 23%
CINEBENCH R23 | Ryzen 9 7900X | Ryzen 9 5900X | % |
CPU (Multi Core) | 29187 | 22424 | 23% |
CPU (Single Core) | 1997 | 1620 | 19% |
ทดสอบด้วย 7ZIP
7Zip คือโปรแกรมประเภทเดียวกันกับ WinZip และ WinRAR ที่หลายคนรู้จักกันดีและใช้งานอยู่เป็นประจำ แต่สำหรับ 7Zip นั้นคือการเป็นซอฟต์แวร์แบบโอเพ่นซอร์สที่ใช้งานได้อิสระอย่างแท้จริง และสามารถนำไปพัฒนาต่อได้ และในตัวของ 7Zip ก็มาพร้อมกับเครื่องมือในการทดสอบประสิทธิภาพของซีพียูในตัว โดยจะทดสอบด้วยการวัดความสามารถในการบีบข้อมูลและคืนขนาดของข้อมูลด้วยขนาดต่าง ๆ ตามที่ต้องการ รวมไปถึงการตั้งค่าการใช้จำนวนเธรดของซีพียูอีกด้วย โดยในการทดสอบของเราจะเลือกใช้ทั้งแบบ 24 เธรด ซึ่งเป็นจำนวนเธรดสูงสุดของซีพียูทั้งสองรุ่นที่ใข้ในการทดสอบและใช้ตัวเลยแบบเธรดเดียว เพื่อทดสอบว่าเมื่อเทียบกับแบบคอร์ต่อคอร์ ประสิทธิภาพในการทำงานจะเพิ่มขึ้นมาขนาดไหน สำหรับผลการทดสอบของ 7Zip ที่ได้นั้นถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่สูงมากเลยทีเดียว โดยเฉพาะคะแนนการทดสอบแบบ Multi Thread Compressing ที่ Ryzen 9 7900X ให้ประสิทธิภาพสูงกว่าถึง 41% เลยทีเดียว
7Zip | Ryzen 9 7900X | Ryzen 9 5900X | % |
Multi Thread Compressing (GIPS) | 155.18 | 91.30 | 41% |
Multi Thread Decompressing (GIPS) | 203.81 | 172.88 | 15% |
Single Thread Compressing (GIPS) | 8.74 | 7.41 | 15% |
Single Thread Decompressing (GIPS) | 12.25 | 10.66 | 13% |
ทดสอบด้วย Blackmagic RAW
Blackmagic RAW โปรแกรมทดสอบประสิทธิภาพการทำงานของซีพียูและกราฟิกการ์ดในการประมวลผลไฟล์วิดีโอแบบ RAW ที่เป็นมาตรฐานของทาง Blackmagic โดยตรง ซึ่งมาตรฐานไฟล์นี้ไม่มีฮาร์ดแวร์เฉพาะในการเข้ารหัสและถอดรหัสในตัวซีพียูหรือบนกราฟิกการ์ด ไม่เหมือนกับไฟล์จำพวก MP4 ที่มีฮาร์ดแวร์สำหรับการเข้ารหัสและถอดรหัสอยู่ในกราฟิกการ์ด ดังนั้นการประมวลผลร่วมกับไฟล์ในลักษณะนี้จำเป็นต้องใช้ประสิทธิภาพในการทำงานของซีพียูและกราฟิกการ์ดโดยตรง ส่วนการทดสอบในครั้งนี้เราเลือกใช้คะแนนในส่วนของซีพียูมาพิจารณา โดยคะแนนที่ได้นั้นจะเป็นจำนวนเฟรมที่ซีพียูสามารถทำงานได้ต่อวินาที (FPS) โดยไฟล์ที่ Blackmagic RAW ใช้ทดสอบจะมีขนาดตั้งแต่ FHD ไปจนถึง 8K
Blackmagic RAW Test (FPS) | Ryzen 9 7900X | Ryzen 9 5900X | % |
BRAW 12:1 HD | 1359 | 791 | 42% |
BRAW 12:1 4K | 348 | 197 | 43% |
BRAW 12:1 6K | 136 | 77 | 43% |
BRAW 12:1 8K | 87 | 49 | 44% |
BRAW 8:1 HD | 1364 | 784 | 43% |
BRAW 8:1 4K | 341 | 196 | 43% |
BRAW 8:1 6K | 133 | 76 | 43% |
BRAW 8:1 8K | 85 | 49 | 42% |
BRAW 5:1 HD | 1287 | 767 | 40% |
BRAW 5:1 4K | 321 | 191 | 40% |
BRAW 5:1 6K | 125 | 74 | 41% |
BRAW 5:1 8K | 80 | 47 | 41% |
BRAW 3:1 HD | 1161 | 734 | 37% |
BRAW 3:1 4K | 290 | 183 | 37% |
BRAW 3:1 6K | 113 | 71 | 37% |
BRAW 3:1 8K | 72 | 45 | 38% |
ทดสอบด้วย Blender 3.4
Blender 3.4 เพิ่งจะอัปเดตมาเมื่อไม่กี่วันนี้เองครับ ก็ถือว่าเป็นโอกาสดีที่เราจะใช้กับการทดสอบกับซีพียูรุ่นใหม่อย่าง Ryzen 9 7900X การทดสอบด้วย Blender เราจะใช้ Render Engine เป็นแบบ Cycle และเลือกไฟล์ตัวอย่างการเรนเดอร์มาสองงานคือ Classroom และ Barbershop ที่สามารถดึงประสิทธิภาพในการทำงานของซีพียูออกมาใช้งานในอย่างเต็มที่ เรียกได้ว่าเป็นการแสดงประสิทธิภาพของซีพียูรุ่นใหม่ ๆ ได้ดีกว่าการทดสอบอื่น ๆ เพราะการเรนเดอร์ด้วยงานกราฟิกแบบนี้จะเป็นเวิร์คโหลดที่ค่อนข้างหนักและใช้เวลาในการทดสอบอย่างต่อเนื่องค่อนข้างนาน ทำให้เรามองเห็นประสิทธิภาพในการทำงานของซีพียูแต่ละรุ่นได้อย่างชัดเจน
Blender 3.4 | Ryzen 9 7900X | Ryzen 9 5900X | % |
Classroom CPU Cycle (min) | 2.55 | 3.56 | 40% |
Barber CPU Cycle (min) | 12.37 | 17.36 | 40% |
และในการทดสอบด้วย Blender นี้ทำให้เราเห็นได้อย่างชัดเจนว่าการเลือกซีพียูรุ่นใหม่สถาปัตยกรรมใหม่ นั้นส่งผลต่อการทำงานอย่างชัดเจน เมื่อคุณต้องมาเจอกับเวิร์คโหลดขนาดใหญ่และต่อเนื่อง สายทำงานกราฟิกสายเรนเดอร์น่าจะตัดสินใจได้ไม่ยาก เพราะในสายงานของพวกเขาเวลามีค่ามาก ๆ
บทสรุปส่งท้าย
ก็ถือว่าแรงพอตัวเลยนะครับกับ Ryzen 9 7900X ที่ใช้สถาปัตยกรรม Zen 4 แม้มันจะไม่ได้รู้สึกว่าแรงแบบก้าวกระโดดเป็นเท่าตัว เหมือนตอนที่เห็นผลการทดสอบจากการเปลี่ยนจาก Ryzen 2000 มาเป็น Ryzen 5000 ที่เรียกได้ว่าเป็นความแรงที่เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด แต่ก็ต้องไม่ลืมว่านั่นเป็นการเปลี่ยนด้วยการปรับปรุงมาแล้วถึงสองเจนฯ
ถ้าดูจากการใช้งานจริงของผู้ใช้ส่วนใหญ่ที่เลือกซีพียูในระดับ 12 คอร์ 24 เธรด มาใช้งาน ก็มักจะเป็นผู้ใช้งานในระดับมืออาชีพ ซึ่งคะแนนการทดสอบในส่วนของการทำงานในหลาย ๆ การทดสอบนั้นก็ได้แสดงให้เห็นว่า Ryzen 9 7900X ที่ใช้สถาปัตยกรรม Zen 4 นั้นมีความน่าสนใจอย่างมากในการอัปเกรดไปใช้งาน เช่นการทำงานร่วมกับไฟล์วิดีโอแบบ RAW และการเรนเดอร์ของ Blender นั้นให้ประสิทธิภาพในการทำงานที่ดีกว่า Ryzen 9 5900X ที่เป็น Zen 3 อยู่ราว ๆ 40% นั่นหมายถึงคุณจะประหยัดเวลาในการทำงานลงไปอย่างมาก
นอกจากนี้การอัปเกรดจากแพลตฟอร์มเดิมมาสู่แพลตฟอร์มใหม่อย่าง Ryzen 9 7900X พร้อมด้วยเมนบอร์ดซ็อกเก็ต AM5 นั้น สิ่งที่เราจะได้จริง ๆ ไม่ได้อยู่ที่เฉพาะเรื่องของประสิทธิภาพจากตัวซีพียูเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เรายังจะได้รับประโยชน์อื่น ๆ จากแพลตฟอร์มใหม่นี้อีกหลายประการ เช่น การรองรับหน่วยความจำความจุสูงได้ง่ายกว่าและได้แบนด์วิดธ์ที่สูงกว่า รวมไปถึงการรองรับอินเทอร์เฟซใหม่ เช่น PCIe 5.0 ที่ใช้ความเร็วสูงขึ้นเป็นสองเท่าเมื่อเทียบกับ PCIe 4.0 และมีจำนวนเลนที่มากกว่า และยังมีการรองรับมาตรฐานใหม่อื่น ๆ เช่น USB 4.0 เป็นต้น ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่ตอบโจทย์กับผู้ใช้ในระดับมืออาชีพที่ต้องการความเร็วในการทำงาน และสิ่งเหล่านี้เราคงไม่สามารถใช้งานได้ถ้ายังคงใช้แพลตฟอร์ม AM4 อยู่เหมือนเดิม
ดังนั้นการเลือกว่าเราจะยังคงอยู่กับแพลตฟอร์มเดิม หรือก้าวข้ามมาสูงแพลตฟอร์ม่ใหม่ เรื่องของประสิทธิภาพจากซีพียูคงจะไม่ใช่ปัจจัยสำคัญเพียงเรื่องเดียว เรายังต้องพิจารณาไปถึงสภาพแวดล้อมในการใช้งาน และรวมถึงการอัปเกรดที่จะเกิดขึ้นในครั้งต่อ ๆ ไปในอนาคตอีกด้วย
แน่นอนว่าในตอนนี้แพลตฟอร์ม AM4 ยังคงมีความคุ้มค่าและยังอยู่กับเราไปอีกหนึ่งปีเป็นอย่างน้อย ซึ่งเราก็ยังคงสามารถลงทุนและใช้งานต่อไปได้ แต่ถ้าใครกำลังวางแผนที่จะประกอบเครื่องใหม่และมีความพร้อมเรื่องงบประมาณ เราคิดว่าแพลตฟอร์ม AM5 ก็มีความน่าสนใจอย่างมากและคิดว่าก็สามารถให้ความคุ้มค่าในระยะยาวได้ดีไม่แพ้กันครับ