
นี่เป็นอีกครั้งที่เราได้ทดสอบเกมมิ่งเฮดเซตจาก HyperX และเป็นเกมมิ่งเฮตเซตในตระกูลที่เราคุ้นเคยครับ ในรุ่น Cloud Core Wireless เกมมิ่งเฮตเซตรุ่นนี้นักรีวิวในต่างประเทศให้ความเห็นตรงกันว่าเป็นเกมมิ่งเฮตเซตที่มีความคุมค่ามากที่สุดในราคาระดับเดียวกัน เดี๋ยวเราจะทดสอบและมาบอกว่าเป็นจริงอย่างที่พวกเขากล่าวไว้หรือไม่
คุณสมบัติทางด้านเทคนิค
- ไดรเวอร์: Dynamic, 53mm, neodymium magnets
- การสวมใส่: สวมศรีษะ, ครอบใบหู
- การตอบสนองความถี่เสียง: 10 Hz – 21 kHz
- ความไว: -44 dBV (1 V/Pa at 1 kHz)
- T.H.D: < 2%
- ประเภทเฟรม: อลูมิเนียม
- แผ่นรองหูฟัง: เมมโมรี่โฟมและหนังเทียมระดับพรีเมียม
- รองรับระบบเสียง: DTS X
- ชนิดไมโครโฟน: Electret condenser microphone
- การรับเสียง: Bi-directional, Noise-cancelling
- ความไว: -44 dBV (1 V/Pa at 1 kHz)
- การเชื่อมต่อ USB : USB 2.0
- Bit-Depth: 16 bit
- ควบคุมเสียงได้จากหูฟัง
- ระยะเวลาในการใช้งานด้วยแบตเตอรี่: สูงสุด 20 ชั่วโมง
- ระยะเวลาในการชาร์ต: 3 hours
- น้ำหนัก 280 กรัม

การออกแบบ
ถ้าใครเคยใช้หรือติดตามเกมมิ่งเฮตเซต HyperX ในตระกูล Cloud มาก่อนก็ไม่ต้องคาดเดาอะไรมาครับ เพราะรูปลักษณ์ภายนอกของตัวหูฟังนั้นก็ถอดแบบหูฟังรุ่นพี่ที่ออกมาก่อนอย่างไม่ต้องสงสัย แถบคาดศรีษะหรือโครงหลักทำจากอะลูมิเนียมหุ้มด้วยฟองน้ำแหละหนังเทียมคุณภาพสูง การสวมใส่ที่ให้ความสบายในแบบที่ได้รับจากเฮตเซตในตระกูล Cloud ตัวเฟรมที่ขยายและบิดงอได้อย่างยืดหยุ่นแต่แข็งแรงทำให้เราสวมใส่ได้อย่างสบาย


ตัวหูฟังเป็นแบบครอบใบหูทั้งหมด และตัวฟองน้ำรองหูฟังที่หุ้มด้วยหนังทำให้เวลาที่เราสวมใส่แล้วสามารถเก็บเสียงรบกวนจากภายนอกได้ดี และยังให้เสียงเบสที่ลงได้ลึก แต่ถ้าสวมใส่ต่อเนื่องเป็นเวลานานโดยเฉพาะถ้าไม่ได้อยู่ในห้องแอร์ก็อาจจะรู้สึกร้อนหูบ้าง ซึ่งก็เป็นปกติของหูฟังในสไตล์นี้อยู่แล้ว ดังนั้นการใช้งานก็คงต้องถอดออกมาเป็นระยะ ๆ เมื่อมีการใช้งานอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน

การควบคุมระดับเสียงสามารถปรับได้จากวอลุ่มที่อยู่บนตัวหูฟังโดยตรง เป็นแบบหมุน ซึ่งเราชอบการปรับเสียงของหูฟังด้วยการหมุนมากกว่าแบบที่เป็นปุ่มกด เพราะมันปรับเลี่อนได้สะดวกรวดเร็วเอามือสัมผัสปุ๊บรู้เลยว่านี่คือที่ปรับระดับเสียง ในขณะที่ตัวปรับเสียงแบบปุ่มกดที่ตัวหูฟังมันขาดความแม่นยำและบางทีก็ต้องคลำกันอยู่สักพักว่ามันปุ่มไหนกันแน่ เพราะในระหว่างการใช้งานโดยเฉพาะการเล่นเกมสมาธิของเราจะจดจ่ออยู่กับการเล่นเป็นหลักนั่นเองครับ ตรงนี้ทาง HyperX ก็ถือว่าออกแบบมาดี และก็ยังคงเป็นเอกลักษณ์ของเกมมิ่งเฮตเซตในตระกูล Cloud รวมถึง Cloud Core Wireless รุ่นนี้ด้วย
การเชื่อมต่อของหูฟังกันกับเครื่องคอมพิวเตอร์หรือโน้ตบุ๊กก็สะดวกสบาย เพราะเป็นแบบไร้สายเพียงแค่เสียบตัวรับสัญญาณที่เป็นแบบ USB เข้ากับพีซีหรือโน้ตบุ๊ก แล้วกดปุ่มพาวเวอร์ที่ตัวหูฟังค้างไว้ประมาณ 2 วินาที ระบบก็จะทำการเชื่อมต่อกันพร้อมใช้งานได้อย่างรวดเร็ว

การใช้งานและคุณภาพเสียง
ขอพูดถึงไมโครโฟนก่อนแล้วกันครับ คุณภาพเสียงของไมโครโฟนของ Cloud Core Wireless นั้นอยู่ในเกณฑ์ที่ใช้งานได้ เน้นความชัดเจนของเสียงพูด ไม่ได้เน้นมิติเสียงเหมือนกับพวกไมโครโฟนแยก มันสามารถใช้สื่อสารกับทีมในขณะที่เราเล่นได้อย่างไม่มีปัญหาและเป็นไมค์ที่ตัดเสียงรบกวนได้ดีพอตัว เพียงแต่ถ้าใครเป็นคนทำงานในสายตรีมเมอร์ที่ต้องการเสียงที่มีมิติก็คงต้องมองหาไมค์โครโฟนแยกเพิ่มเติมครับ
หรืออีกหนึ่งวิธีที่จะยกระดับเสียงไมโครโฟนได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องจ่ายเพิ่มก็สามารถดาวน์โหลดซอฟต์แวร์ที่ชื่อว่า VOICEMEETER มาติดตั้งและใช้งานได้เลยครับ แม้จะยุ่งยากนิดหน่อยแต่ก็ช่วยยกระดับเสียงของไมโครโฟนรุ่นนี้ขึ้นมาได้อีกระดับเลยครับ
ส่วนคุณภาพเสียงจากตัวหูฟังนี่บอกเลยครับว่าประทับใจตั้งแต่ได้ลองใช้งานครั้งแรก หลังจากเกะออกจากกล่องแล้วเราก็ไม่รอช้าเชื่อมต่อเฮตเซตเข้ากับคอมพิวเตอร์ทันที โดยที่ตัวหูฟังมีแบตเตอรี่ค้างอยู่ประมาณ 50%
ตามปกติแล้วหูฟังโดยส่วนมากจะต้องมีการเบิร์นไปสักระยะเพื่อให้เสียงมันเข้าที่เข้าทาง แต่สำหรับ Cloud Core Wireless เราใช้งานทันทีด้วยการเข้าเกม ปรากฏว่าเสียงที่ได้นั้นประทับใจมาก ความคมชัดในเรื่องทิศทางของเสียงนั้นทำออกมาได้ดีสมกับเป็นเฮตเซตในตระกูล Cloud จาก HyperX เรียกได้ว่าเปิดกล่องมาก็ซัดกันได้เลยไม่ต้องเสียเวลาเบิร์นครับ ทั้งเล่นเกมหรือดูหนังก็ฟินมากเช่นกัน แต่แน่นอนว่าถ้าต้องการเบสให้ลึกกว่านี้ก็อาจจะต้องเบิร์นต่ออีกหน่อยครับ รับรองว่าฟังเพลงได้เพราะขึ้นแน่นอน แต่สำหรับการเปิดกล่องแล้วใช้งานในครั้งแรกก็ต้องบอกว่าคุณภาพเสียงเกินคาดมาก ๆ ครับ
พร้อมสำหรับ DTS X
ส่วนเรื่องระบบเสียง DTS X ที่เกมมิ่งเฮตเซตรุ่นนี้รองรับ ผู้ใช้ก็สามารถเข้าไปดาวน์โหลดซอฟต์แวร์ “DTS Sound Unboud” จาก Windows Store มาใช้งานได้เลยครับ โดยเฮตเซตรุ่นนี้จะมาพร้อมกับ license ที่ใช้งาน DTS X ได้อย่างถูกต้อง (ถ้าเป็นหูฟังทั่วไปต้องการใช้ DTS X ก็ต้องจ่ายราว 700 บาท) แต่ว่าคอนเทนต์หรือเนื้อหาที่เราใช้งานไม่ว่าจะเป็นเกมหรือหนังก็ต้องถูกบันทึกมาให้รองรับ DTS ด้วยนะครับ จึงจะสัมผัสคุณภาพเสียงได้อย่างเต็มที่



สำหรับเกมที่รองรับเท่าที่รวบรวมได้แบบด่วน ๆ ก็มีดังนี้ครับ
- Gears 5
- Borderlands 3
- Call of Duty Modern Warfare
- Forza Horizon 4
- Shadow of the Tomb Raider
- Assassin’s Creed Origins
- For Honor
- Final Fantasy XV
- Resident Evil 2
- Metro Exodus
- The Division 2
สำหรับระยะเวลาในงานด้วยแบตเตอรีนั้นตามสเปคระบุว่าทำได้ที่ 20 ชั่วโมง ต้องบอกว่าเรายังไม่เคยนั่งอยู่ตรงหน้าจอยาวนานถึง 20 ชั่วโมง ขนาดนั้น อย่างมากก็ประมาณสัก 12-15 ชั่วโมง ก็เต็มที่สำหรับเราแล้ว ซึ่งพลังงานจากแบตเตอรี่ในตัวก็สามารถอยู่ได้อย่างเพียงพอ สำหรับการใช้งานจริง เราคิดว่าส่วนใหญ่แล้วในระหว่างวันเราก็จะมีการชาร์ตไฟเพิ่มให้กับตัวเฮตเซตอยู่แล้วเช่น ตอนออกไปพัก เป็นต้น หรือถ้าลืมจริง ๆ เราก็สามารถใช้งานแบบชาร์ตไปใช้ไปได้ เพียงแต่สายชาร์ตแบบ USB-C ที่ให้มานั้นสั้นไปหน่อย คงต้องมองหาสายสำรองอื่น ๆ เพื่อความสะดวกครับ
บทสรุปหลังจากลองใช้ HyperX Cloud Core Wireless
ในเรื่องราคาแน่นอนว่านี่ไม่ใช่เกมมิ่งเฮตเซตในกลุ่มราคาประหยัด แต่ในต่างประเทศโดยเฉพาะโซนอเมริกา-ยุโรป เขาบอกว่าอยู่ในกลุ่มราคาค่อนข้างถูกคือต่ำกว่า 100USD ก็เข้าใจได้ว่านั่นคือค่าครองชีพของพวกเขา แต่สำหรับบ้านเรานี่คือเกมมิ่งเฮตเซตในระดับราคากลาง-สูงสำหรับหลายคน ในบ้านเราก็หาซื้อกันได้ตั้งแต่ช่วงราคา 2,700 บาท ไปจนถึง 3,200 บาท โดยประมาณ แล้วแต่ช่วงเวลาแล้วแต่โปรโมชัน แต่อย่างลืมว่านี่เป็นราคาของเกมมิ่งเฮตเซตแบบไร้สายที่ให้คุณใช้งานได้อย่างสะดวกไม่มีดีเลย์ และคุณภาพเสียงที่พร้อมให้คุณลุยได้ตั้งแต่เปิดกล่อง พร้อมด้วยการรองรับ DTS X ซึ่งทั้งหมดนี้มันจึงทำให้ Cloud Core Wireless จึงเป็นหนึ่งในเกมมิ่งเฮตเซตที่คุ้มค่ามาก ๆ อีกรุ่นหนึ่งจาก HyperX

ถ้าคุณเป็นเกมเมอร์ที่ต้องการคุณภาพเสียงที่ดีและต้องการความอิสระและสะดวกสบายในการใช้งานตลอดวันโดยไม่ต้องมีสายสัญญาณที่รกรุงรัง Cloud Core Wireless ก็ตอบโจทย์ได้อย่างลงตัวครับ