Meta จะใช้บริการของ AWS และโครงสร้างพื้นฐานระดับโลกเพื่อปรับขนาดการวิจัยและพัฒนา อำนวยความสะดวกในการทำงานร่วมกันกับพันธมิตร และขับเคลื่อนประสิทธิภาพการดำเนินงาน Meta และ AWS จะร่วมกันช่วยให้องค์กรต่าง ๆ ใช้ PyTorch บน AWS เพื่อนำโมเดลการเรียนรู้เชิงลึกจากงานวิจัยไปสู่การนำไปใช้ได้อย่างรวดเร็วและง่ายยิ่งขึ้น

อะเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส (Amazon Web Services: AWS) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ Amazon.com, Inc. (NASDAQ: AMZN) ประกาศว่าเมตา หรือ Meta (NASDAQ: FB) ได้เลือก AWS เป็นผู้ให้บริการระบบคลาวด์ของบริษัทฯ โดยใช้โครงสร้างพื้นฐานของ AWS ที่ได้รับการพิสูจน์ถึงความสามารถที่ครอบคลุม ในการเสริมศักยภาพของโครงสร้างพื้นฐานแบบ on-premise ของ Meta ที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบัน และจะขยายการใช้งานด้านการประมวลผล พื้นที่จัดเก็บ ฐานข้อมูล และบริการด้านความปลอดภัยของ AWS เพื่อมอบความเป็นส่วนตัว ความน่าเชื่อถือ และความยืดหยุ่นในการปรับขนาดของระบบคลาวด์ Meta จะดำเนินความร่วมมือต่าง ๆ กับพันธมิตรบน AWS และใช้ระบบคลาวด์เพื่อสนับสนุนการเข้าซื้อกิจการของบริษัทที่ขับเคลื่อนโดย AWS อยู่แล้ว นอกจากนี้ ยังจะใช้บริการประมวลผลของ AWS ในการเร่งการวิจัยและพัฒนาด้านปัญญาประดิษฐ์ (artificial intelligence: AI) สำหรับกลุ่ม Meta AI ของบริษัทฯ Meta และ AWS จะทำงานร่วมกันเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพสำหรับลูกค้าที่ใช้งาน PyTorch บน AWS และเร่งวิธีที่นักพัฒนาสร้าง ฝึกอบรม ปรับใช้ และใช้งานโมเดล AI และแมชชีนเลิร์นนิง (machine learning: ML)
ความร่วมมือระหว่าง AWS และ Meta จะช่วยนักให้วิจัยและนักพัฒนาแมชชีนเลิร์นนิง สามารถใช้ประสิทธิภาพของ PyTorch ได้เต็มที่ และสามารถทำงานบนบริการของ AWS อาทิ Amazon Elastic Compute Cloud (Amazon EC2) และ Amazon SageMaker (บริการของ AWS ที่ช่วยให้นักพัฒนาและ data scientist สามารถสร้าง ฝึกอบรม และปรับใช้โมเดลแมชชีนเลิร์นนิงได้อย่างรวดเร็วทั้งบนคลาวด์และเอดจ์) เพื่อการสร้าง ฝึกอบรม และนำโมเดล AI ไปใช้ในวงกว้าง และเพื่อช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างโมเดลการเรียนรู้เชิงลึก (deep learning) จากข้อมูลปริมาณมากสำหรับการประมวลผลภาษาที่เป็นธรรมชาติ (natural language) และคอมพิวเตอร์วิทัศน์ (computer vision) ได้ง่ายดายยิ่งขึ้น ทั้งสองบริษัทจะทำงานร่วมกันเพื่อเสนอ native tools เพื่อช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพ ความสามารถในการอธิบาย และค่าใช้จ่าย (cost of inference) บน PyTorch รวมทั้งจะมีการพัฒนา TorchServe ซึ่งเป็นระบบ native ของ PyTorch ซึ่งทำให้ง่ายต่อการปรับใช้โมเดล PyTorch ที่พัฒนามาเพื่อใช้งานระดับต่าง ๆ และง่ายต่อการปรับใช้โมเดลในการผลิต ต่อยอดจากการใช้งาน open-source เหล่านี้ AWS และ Meta วางแผนในการช่วยให้องค์กรต่าง ๆ นำโมเดลการเรียนรู้เชิงลึกขนาดใหญ่ ที่มาจากการวิจัยนำไปสู่การนำไปใช้ได้อย่างรวดเร็วและง่ายขึ้นด้วยประสิทธิภาพที่ปรับให้เหมาะสมบน AWS
แคธริน เรนซ์ รองประธานฝ่ายพัฒนาธุรกิจและอุตสาหกรรมของ AWS (Kathrin Renz, Vice President of Business Development and Industries at AWS) กล่าวว่า “Meta และ AWS มีความร่วมมือกันมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา ด้วยข้อตกลงนี้ AWS จะสนับสนุน Meta ในด้านการวิจัยและพัฒนา ขับเคลื่อนนวัตกรรม ร่วมมือกับพันธมิตร และชุมชน open-source ในวงกว้าง ลูกค้าสามารถให้ความไว้วางใจใน Meta และ AWS เพื่อทำงานร่วมกันบน PyTorch ทำให้ทุกคนสามารถสร้าง ฝึกฝน และปรับใช้โมเดลการเรียนรู้เชิงลึกบน AWS ได้ง่ายขึ้น”
“เรารู้สึกยินดีที่ได้ขยายการทำงานเชิงกลยุทธ์ร่วมกันกับ AWS ที่ช่วยให้เราสามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ได้เร็วขึ้น ตลอดจนปรับเพิ่มลดขนาด และขยายขอบเขตของงานวิจัยและพัฒนาของเรา” เจสัน กาลิช รองประธานฝ่ายวิศวกรรมการผลิตของ Meta (Jason Kalich, Vice President of Production Engineering at Meta) กล่าว “การให้บริการที่ครอบคลุมและความน่าเชื่อถือในระดับโลกของ AWS จะช่วยให้เราส่งมอบประสบการณ์ที่เป็นนวัตกรรมให้กับผู้คนหลายพันล้านคนทั่วโลก ที่ใช้ผลิตภัณฑ์และบริการของ Meta รวมถึงลูกค้าที่ใช้งาน PyTorch บน AWS ต่อไป”
เกี่ยวกับอะเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส
ตลอดระยะเวลา 15 ปี อะเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส (Amazon Web Services: AWS) เป็นบริการคลาวด์ที่ครอบคลุมและกว้างขวางที่สุดในโลก AWS ขยายการให้บริการอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับการทำงานบนคลาวด์ทุกรูปแบบ ซึ่งในปัจจุบันมีบริการอย่างเต็มรูปแบบกว่า 200 รายการ สำหรับการคำนวณ การจัดเก็บข้อมูล ฐานข้อมูล ระบบเครือข่าย การวิเคราะห์ การเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning: ML) และปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) อินเตอร์เน็ตในทุกสิ่ง (Internet of Things: IoT) โทรศัพท์มือถือ การรักษาความปลอดภัย ไฮบริด เทคโนโลยีโลกเสมือนจริง (Virtual reality: VR) และการรวมวัตถุเสมือนเข้ากับสภาพแวดล้อมจริง (Augmented reality: AR) สื่อและการพัฒนาแอปพลิเคชัน การใช้งาน และการจัดการจาก 81 Availability Zones (AZs) ใน 25 ภูมิภาค พร้อมประกาศแผนสำหรับ Availability Zones เพิ่มเติมอีก 27 แห่ง และอีกเก้า AWS Regions ในออสเตรเลีย แคนาดา อินเดีย อินโดนีเซีย อิสราเอล สเปน สวิตเซอร์แลนด์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ลูกค้ากว่าล้านรายรวมไปถึงสตาร์ทอัพที่เติบโตอย่างรวดเร็ว องค์กรขนาดใหญ่ และหน่วยงานภาครัฐ ต่างเชื่อมั่นใน AWS ในการขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐานของพวกเขาให้มีความคล่องตัวมากขึ้นและมีต้นทุนที่น้อยลง หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ AWS สามารถเข้าไปที่ aws.amazon.com