ย้อนไปเมื่อปี 2016, Apple และ Intel ได้ลงนามข้อตกลงเพื่อให้ Apple เข้าซื้อธุรกิจโมเด็มสมาร์ทโฟนส่วนใหญ่ของ Intel โดยพนักงานของ Intel ประมาณ 2,200 คนจะเข้าร่วมกับ Apple พร้อมกับทรัพย์สินทางปัญญา อุปกรณ์ และสัญญาเช่า ธุรกรรมมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ และเสร็จสิ้นกระบวนการทั้งหมดไปในช่วงปี 2019
หลังจากนั้นในที่สุด Apple ก็ได้ทำการเปิดตัวโมเด็ม C1 ของตนเอง ซึ่งถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในวิวัฒนาการการเชื่อมต่อบนสมาร์ทโฟน เป็นผลลัพธ์จากแผนระยะยาว 6 ปีหลังเข้าซื้อทรัพย์สินโมเด็ม 5G ของอินเทล การปรากฏตัวครั้งแรกใน iPhone 16e สมาร์ทโฟนราคา $599 ที่วางตำแหน่งเป็นสมาร์ทโฟนระดับกลาง สะท้อนวิสัยทัศน์ของแอปเปิลในการออกแบบโมเด็มผ่านการผสานรวมระบบแนวตั้ง (Vertical Business) การประหยัดพลังงาน การลดต้นทุน และแน่นอนคือการเป็นควบคุมซัพพลายเชนให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ในสไตล์ของ Apple

C1 ชิปโมเด็มที่ประหยัดพลังงาน
หัวใจของการออกแบบ C1 อยู่ที่เทคโนโลยีกระบวนการผลิตระดับ 4nm (N4P) ของ TSMC ที่ช่วยลดการใช้พลังงานได้อย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่ยังคงประสิทธิภาพการประมวลผล แอปเปิลอ้างว่า C1 เป็น “โมเด็มประหยัดพลังงานที่สุดในประวัติศาสตร์ไอโฟน” ซึ่งทำได้ผ่านการออกแบบซิลิกอนเฉพาะและระบบจัดการพลังงานของ iOS 18 ที่ผสานรวมอย่างลึกซึ้ง แม้บริษัทจะไม่เปิดเผยรายละเอียดสถาปัตยกรรม แต่ผู้วิเคราะห์คาดว่า C1 ใช้แกนประมวลผลแบบ Arm หรือ RISC-V ที่ปรับแต่งสำหรับการประมวลผลสัญญาณพลังงานต่ำ
C1 รองรับ 5G ความถี่ sub-6 GHz พร้อมเทคโนโลยี 4×4 MIMO, Gigabit LTE และระบบเก่า 3G/2G เพื่อความเข้ากันได้กับเครือข่ายหลากหลาย อย่างไรก็ตาม C1 ไม่รองรับ mmWave 5G, Wi-Fi 7 และเครือข่าย TDD (Time Division Duplex) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานสูงหรือยังไม่แพร่หลาย เช่น mmWave 5G ต้องการเสาอากาศแบบ phased-array และการปรับทิศทางสัญญาณอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ใช้พลังงานเพิ่มขึ้นถึง 30% ในพื้นที่สัญญาณอ่อน การตัดคุณสมบัติเหล่านี้ช่วยยืดอายุแบตเตอรี่และลดต้นทุนสำหรับกลุ่มเป้าหมายหลักของ iPhone 16e
ทำเองใช้เอง ควบคุมระบบนิเวศ
ชิป C1 จะทำให้ Apple สามารถยุติความสัมพันธ์กับ Qualcomm เหมือนที่ทำกับ Intel โดยแอปเปิลประเมินว่าการเปลี่ยนมาใช้โมเด็มในบ้านจะช่วยลดต้นทุนได้ $10-15 ต่อเครื่อง หรือประมาณ $1.5-2.25 พันล้านต่อปี หากขายได้ 150 ล้านเครื่อง ข้อได้เปรียบนี้จะเพิ่มขึ้นเมื่อแอปเปิลขยายการใช้งาน C1 ไปยังรุ่นเรือธงและอุปกรณ์อื่นๆ เช่น iPad และ Apple Watch ในอนาคต
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า Qualcomm จะสูญเสียรายได้ประมาณ 7-8 พันล้านดอลลาร์ต่อปีจากการที่ Apple พัฒนาชิปเอง สัญญาอนุญาตเทคโนโลยีระหว่าง Qualcomm และ Apple จะหมดอายุในปี 2027 และ Qualcomm คาดว่าโมเด็มของตนจะถูกใช้ในผลิตภัณฑ์ของ Apple เพียง 20% เท่านั้นในปี 2026

กลยุทธ์โมเด็มของแอปเปิลสอดคล้องกับการพัฒนาชิป A-series และ M-series ที่ได้เปรียบจากการควบคุมทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ C1 ใช้ระบบจัดการพลังงานของ iOS 18 เพื่อเข้าสู่โหมดประหยัดพลังงานแบบไดนามิกตามสภาพเครือข่ายและความต้องการแอปพลิเคชัน ซึ่งสำคัญต่อฟีเจอร์ Apple Intelligence ที่ต้องการการเชื่อมต่อพื้นหลังต่อเนื่อง
การวางตำแหน่งตลาดของ iPhone 16e
iPhone 16e ถูกออกแบบสำหรับผู้ใช้ที่อัปเกรดจากอุปกรณ์อายุเกิน 3 ปี ซึ่งคิดเป็น 30% ของฐานผู้ใช้ปัจจุบัน กลุ่มนี้ให้ความสำคัญกับอายุแบตเตอรี่และราคามากกว่าคุณสมบัติล้ำสมัย การตัดฟีเจอร์อย่าง MagSafe และ mmWave ช่วยลดต้นทุนส่วนประกอบและยืดอายุแบตเตอรี่เป็น 26 ชั่วโมงสำหรับการเล่นวิดีโอ
ในตลาดอย่างอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เน้น 5G sub-6 GHz ราคา $599 สอดคล้องกับกำลังซื้อท้องถิ่น การไม่รองรับ mmWave สะท้อนการใช้งานที่จำกัดนอกสหรัฐฯ ซึ่งมีโครงสร้างพื้นฐานน้อยกว่า 5% C1 มุ่งเน้นความเข้ากันได้กับ FDD-LTE และ TD-LTE สำหรับเครือข่ายเช่น Reliance Jio และ China Mobile
การทดสอบประสิทธิภาพในการใช้งานจริง
การทดสอบอิสระจำเป็นต้องยืนยันว่า C1 สามารถเทียบชั้น Snapdragon X75 ของ Qualcomm ได้หรือไม่ แม้ในการทดสอบชี้ว่า C1 ทำความเร็วดาวน์โหลดสูงสุด 3.5 Gbps บนเครือข่าย sub-6 GHz เทียบเท่า X65 แต่ช้ากว่า X75 อยู่ 15% อย่างไรก็ดี การควบคุมทั้งระบบอาจชดเชยด้วยการจัดลำดับความสำคัญการรับส่งข้อมูล
การขาด Wi-Fi 7 และ mmWave ใน C1 สร้างความแตกต่างในไลน์อัปไอโฟน โดยรุ่นเรือธงยังใช้โมเด็ม Qualcomm แอปเปิลคาดว่าจะแก้ปัญหานี้ด้วยการผสาน C-series เข้ากับอุปกรณ์ระดับสูงหลังทดสอบประสิทธิภาพใน iPhone 16e
แนวโน้มอนาคต: สู่ C2 และรุ่นต่อๆ ไป
แม้ C1 ยังเป็นชิปแยก แต่รุ่นอนาคตอาจรวมเข้ากับชิป A-series เพื่อลดความหน่วงและพลังงาน อย่างไรก็ตาม แอปเปิลอาจเลือกรักษาโมเด็มแยกเพื่อไม่ให้กระทบพื้นที่ชิปหลักที่ใช้สำหรับ AI
สถาปัตยกรรม C1 สามารถปรับใช้กับ MacBook และอุปกรณ์ AR/VR ที่ต้องการการเชื่อมต่อเซลลูลาร์ คาดว่า MacBook ติดตั้งชิป C-series อาจเปิดตัวในปี 2026 พร้อมเทคโนโลยี 4nm และระบบประหยัดพลังงาน
บทสรุป
โมเด็ม Apple C1 เป็นก้าวสำคัญในการควบคุมทุกองค์ประกอบหลักของอุปกรณ์ แม้การเปิดตัวใน iPhone 16e จะระมัดระวังด้วยการตัดฟีเจอร์ระดับสูง ความสำเร็จขึ้นอยู่กับการพัฒนาต่อยอดประสิทธิภาพปีละ 15-20% พร้อมเพิ่มฟีเจอร์เช่น Wi-Fi 7 และการเชื่อมต่อดาวเทียมโดยตรง หากทำได้ C1 จะกลายเป็นต้นแบบชิปสื่อสารข้อมูลรุ่นใหม่ที่กำหนดมาตรฐานอุตสาหกรรม และเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าถ้า Apple ไม่มั่นใจก็จะไม่มีทางปล่อย C1 ออกมาสู่ตลาดได้อย่างแน่นอน เพราะสไตล์ของ Apple รอได้รอ มั่นใจแล้วปล่อยมันออกมาพัฒนาต่อไปจนสำเร็จ เหมือนกับที่ทำมาได้แล้วบนชิป Apple M-Series