Intel

รัฐบาลสหรัฐฯ เป็นผู้ถือหุ้นของ Intel อย่างเป็นทางการแล้ว โดยมีสัดส่วนที่ 9.9%

Intel ประกาศความร่วมมือครั้งประวัติศาสตร์กับรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ด้วยข้อตกลงที่รัฐบาลจะเข้าลงทุนในหุ้นสามัญของบริษัทมูลค่า 8.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ การลงทุนครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการส่งเสริมและเสริมสร้างความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีและการผลิตของสหรัฐฯ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ที่ถือเป็นหัวใจสำคัญของความมั่นคงทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีของชาติ

รายละเอียดการลงทุนและแหล่งเงินทุน

เงินลงทุน 8.9 พันล้านดอลลาร์นี้จะถูกใช้เพื่อเข้าซื้อหุ้นสามัญของ Intel จำนวน 433.3 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 20.47 ดอลลาร์ ทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ จะกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในสัดส่วน 9.9% แหล่งเงินทุนสำหรับการลงทุนครั้งนี้มาจากเงินช่วยเหลือที่เหลืออยู่ 5.7 พันล้านดอลลาร์ภายใต้กฎหมาย U.S. CHIPS and Science Act และอีก 3.2 พันล้านดอลลาร์จากโครงการ Secure Enclave ซึ่งรวมแล้วทำให้การลงทุนทั้งหมดที่รัฐบาลสหรัฐฯ มีต่อ Intel เพิ่มขึ้นเป็น 11.1 พันล้านดอลลาร์ หากนับรวมเงินช่วยเหลือ 2.2 พันล้านดอลลาร์ที่บริษัทได้รับก่อนหน้านี้

ที่น่าสนใจคือ การลงทุนในรูปแบบของการซื้อหุ้นนี้เป็น “การถือครองแบบพาสซีฟ” (passive ownership) ซึ่งหมายความว่ารัฐบาลจะไม่มีสิทธิ์ในการเข้าเป็นคณะกรรมการบริหาร หรือมีสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลภายในบริษัท และจะลงคะแนนเสียงตามมติของคณะกรรมการบริษัทเป็นหลัก นอกจากนี้ ยังมีการยกเลิกเงื่อนไขการเรียกคืนเงิน (claw-back) และการแบ่งปันผลกำไรที่เคยมีในเงินช่วยเหลือเดิม เพื่อให้ Intel สามารถใช้เงินทุนได้อย่างถาวรและมั่นคงในการดำเนินแผนการลงทุนในสหรัฐฯ

ทำไมรัฐบาลสหรัฐฯ ถึงเลือกถือหุ้น Intel

การตัดสินใจเข้าลงทุนในหุ้นของ Intel โดยตรง แทนที่จะให้เป็นเงินช่วยเหลือเพียงอย่างเดียว ถือเป็นกลยุทธ์ที่น่าจับตามองในหลายมิติ:

  • เปลี่ยนบทบาทจากผู้ให้เงินช่วยเหลือเป็นคู่ค้าเชิงกลยุทธ์: การเป็นเจ้าของหุ้นทำให้รัฐบาลไม่ได้เป็นเพียงผู้สนับสนุนทางการเงิน แต่ยังได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จของบริษัทในระยะยาว ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของรัฐบาลทรัมป์ในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางอุตสาหกรรมในประเทศ
  • สร้างความมั่นคงในซัพพลายเชน: Intel เป็นบริษัทเซมิคอนดักเตอร์เพียงแห่งเดียวที่ทำการวิจัย พัฒนา และผลิตชิปประมวลผลล้ำสมัย (leading-edge logic R&D and manufacturing) ในสหรัฐฯ ซึ่งการลงทุนครั้งนี้จะช่วยเร่งให้ Intel สามารถขยายกำลังการผลิตในประเทศได้เร็วยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในยุคที่ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และความไม่แน่นอนทางการค้าเพิ่มสูงขึ้น
  • สร้างแรงจูงใจทางการตลาด: การที่บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft, Dell Technologies, HP และ AWS ต่างออกมาแสดงความเห็นสนับสนุนการลงทุนครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในบทบาทของ Intel และวิสัยทัศน์ของรัฐบาล การร่วมมือครั้งนี้ไม่เพียงแต่ส่งผลดีต่อ Intel แต่ยังช่วยเสริมสร้างระบบนิเวศน์ทางเทคโนโลยีทั้งหมดในสหรัฐฯ ให้แข็งแกร่งขึ้นอีกด้วย

ข้อตกลงระหว่าง Intel และรัฐบาลทรัมป์เป็นก้าวสำคัญในการเสริมสร้างความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีและการผลิตของสหรัฐ การลงทุน 8.9 พันล้านดอลลาร์ไม่เพียงแต่ช่วยให้ Intel สามารถขยายกำลังการผลิตและพัฒนาเทคโนโลยีล้ำสมัย แต่ยังสะท้อนถึงนโยบายของรัฐบาลทรัมป์ที่มุ่งเน้นการมีส่วนร่วมในบริษัทเอกชนเพื่อผลประโยชน์ระดับชาติ อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของข้อตกลงนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถของ Intel ในการบริหารจัดการความท้าทายทั้งด้านเทคโนโลยี การเงิน และการเมือง ข้อตกลงนี้อาจกลายเป็นแบบอย่างสำหรับการลงทุนของรัฐบาลในอุตสาหกรรมเชิงกลยุทธ์อื่น ๆ ในอนาคต

สรุปความเห็นจากวงการต่าง ๆ ในเรื่องนี้

  • ด้านบวก: สื่อและนักวิเคราะห์บางส่วนมองว่าการลงทุนนี้เป็นการเคลื่อนไหวที่จำเป็นเพื่อความมั่นคงแห่งชาติและการฟื้นฟู Intel ซึ่งเป็นผู้เล่นสำคัญในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐ การสนับสนุนจากรัฐบาลและ SoftBank ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับนักลงทุน และอาจช่วยให้ Intel มีทรัพยากรในการแข่งขันกับ TSMC และ Nvidia
  • ด้านลบ: นักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญบางส่วนกังวลว่าการแทรกแซงของรัฐบาลอาจนำไปสู่ความขัดแย้งทางผลประโยชน์ หรือบังคับให้บริษัทเลือกใช้ Intel โดยไม่คำนึงถึงความสามารถทางเทคโนโลยี นอกจากนี้ การที่ Intel ยังตามหลังคู่แข่งในด้านเทคโนโลยีและการขาดลูกค้าสำหรับโรงงานใหม่ยังคงเป็นความท้าทายใหญ่

ข้อมูล: Intel