CyberSafe

True CyberSafe x TrueMoney Hackathon Thailand 2025 สร้างนวัตกรรม สู่โลกไซเบอร์ที่ปลอดภัยขึ้น

ในยุคที่เทคโนโลยีขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว อาชญากรรมไซเบอร์ก็ยิ่งทวีความซับซ้อนและแนบเนียนมากขึ้น ส่งผลให้ตลาด Crime Tech หรือเทคโนโลยีป้องกัน ตรวจจับ และรับมืออาชญากรรม กำลังขยายตัวอย่างมหาศาลทั่วโลก แต่ในประเทศไทย กลับพบว่ามีสตาร์ทอัพในสาขานี้ไม่ถึง 10 ราย ทั้งที่ความต้องการสูงลิ่ว

ข้อมูลจากการคาดการณ์ของ Gartner บริษัทวิจัยไอทีชั้นนำ ระบุว่าภายในปี 2568 การลงทุนด้านความปลอดภัยไซเบอร์สำหรับผู้ใช้งานทั่วไปของบริษัทไทยจะพุ่งสูงถึง 18,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 12.3% จากปีก่อนหน้า นี่คือโอกาสทองสำหรับนักพัฒนาและสตาร์ทอัพชาวไทยที่จะพลิกความท้าทายนี้ให้เป็นนวัตกรรม

เวที True CyberSafe x TrueMoney Hackathon Thailand 2025 จึงถือกำเนิดขึ้นเพื่อเป็นพื้นที่ปลดปล่อยความคิดสร้างสรรค์ ไม่ว่าคุณจะเป็นนิสิต นักศึกษา สตาร์ทอัพ หรือประชาชนทั่วไป มาร่วมกัน “แฮ็ค” เพื่อสร้างอนาคตที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น และต่อยอดสู่การเป็นนวัตกรรม Crime Tech ที่ใช้งานได้จริง

True CyberSafe

ต่อไปนี้คือข้อมูลเชิงลึกและคำแนะนำจาก 3 วิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิที่มาร่วมงานเปิดตัวโครงการ ซึ่งจะเป็นจุดตั้งต้นอันทรงคุณค่าในการสร้างสรรค์นวัตกรรมของคุณ:

1. ความมั่นคงทางไซเบอร์: ไม่ใช่แค่เทคโนโลยี แต่คือระบบนิเวศของ “คน” และ “นโยบาย”

พ.ต.ปวิช บูรพาชลทิศน์ จากสำนักงานคณะกรรมการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) เน้นย้ำว่า “Cybersecurity ไม่ใช่เรื่องของรัฐหรือองค์กรเท่านั้น แต่คือระบบนิเวศที่ทุกคนเกี่ยวข้อง” โดย สกมช. ถือเป็นกลไกสำคัญภายใต้ พ.ร.บ.ไซเบอร์ปี 2562 ในการกำกับดูแลและยกระดับความพร้อมด้านความปลอดภัยไซเบอร์ของประเทศ

ด้วยความมุ่งมั่นของ สกมช. ทำให้ประเทศไทยไต่อันดับมาอยู่ที่ 7 ของโลกด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ จากดัชนี Global Cybersecurity Index (GCI) ของ ITU อย่างไรก็ตาม ภัยไซเบอร์ก็พัฒนาไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Deepfake AI ที่สามารถสร้างภาพ เสียง และวิดีโอปลอมได้อย่างแนบเนียน ก่อให้เกิดความเสียหายตั้งแต่ระดับบุคคลไปจนถึงความมั่นคงของชาติ

พ.ต.ปวิช แนะนำว่า ทิศทางการพัฒนานวัตกรรมในวันนี้ต้องใช้แนวคิด “คิดกลับด้าน” คือการคิดค้นเทคโนโลยีที่สามารถตรวจจับการปลอมแปลงที่ถูกสร้างขึ้นมาได้

2. เมื่อภัยไซเบอร์เริ่มต้นที่ “ความเชื่อ” ของเราเอง

พ.ต.อ.เกรียงไกร พุทไธสง ผู้กำกับกลุ่มงานสนับสนุนทางไซเบอร์ กองบังคับการตรวจสอบและวิเคราะห์อาชญากรรมทางเทคโนโลยี ชี้ให้เห็นถึงภัยคุกคามที่แฝงมาในรูปแบบของจิตวิทยาว่า “ในสนามจริง คนร้ายไม่ได้โจมตีที่เทคโนโลยี แต่มาที่สมองของเรา” เหยื่อมักถูกหลอกด้วยกลวิธีทางจิตวิทยา เช่น Confirmation Bias (อคติที่คนเรามักจะหาข้อมูลมายืนยันความเชื่อของตัวเอง) และ Social Proof (การหลงเชื่อคนที่เรามองว่าน่าเชื่อถือ) อาชญากรจึงมักพยายามตัดช่องทางการสื่อสารของเหยื่อกับผู้อื่นในช่วงเวลาสำคัญ เพราะคนที่อยู่ภายนอกสถานการณ์จะสามารถมองออกได้ทันทีว่าเป็นมิจฉาชีพ

พ.ต.อ.เกรียงไกร ตั้งคำถามที่น่าสนใจว่า “จะมีเทคโนโลยีอะไรที่สามารถเตือนเหยื่อได้ ‘ขณะกำลังตัดสินใจ’ ไม่ใช่หลังจากตกเป็นเหยื่อแล้ว” นอกจากนี้ ท่านยังกล่าวถึงความสำคัญของการสร้างเทคโนโลยีที่สามารถระบุกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงได้อย่างเฉพาะเจาะจง รวมถึงการทำความเข้าใจวิถีชีวิตของผู้คนอย่างลึกซึ้ง เพื่อออกแบบนวัตกรรมให้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของพวกเขา

“เราจะออกแบบนวัตกรรมดี ๆ ไม่ได้เลย ถ้าเราไม่รู้ว่าคนขับวินมอเตอร์ไซค์ดูมือถืออย่างไร แม่ค้าออนไลน์กดส่งของอย่างไร หรือผู้สูงวัยใช้โทรศัพท์แบบไหน” พ.ต.อ.เกรียงไกร ทิ้งท้ายข้อคิดอันแหลมคม

3. “เข้าใจมนุษย์” หัวใจสำคัญก่อนออกแบบเทคโนโลยี

ผศ.ดร. ภัทรวรรณ ประสานพานิช อาจารย์สาขาวิชาการปฏิบัติการและเทคโนโลยี สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ฯ เน้นย้ำถึงแก่นแท้ของการออกแบบโซลูชันความปลอดภัยทางไซเบอร์ว่า “Cybersecurity ที่ดีไม่ใช่แค่เรื่องของความฉลาด แต่ต้องเข้าใจมนุษย์” สาเหตุที่ผู้คนตกเป็นเหยื่อมักเกิดจากสถานการณ์ที่กระตุ้นให้พวกเขาตัดสินใจโดยใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล โดยกลุ่มเด็ก วัยรุ่น และผู้สูงอายุ ต่างมีจุดเปราะบางที่แตกต่างกัน ผู้สูงอายุอาจหลงเชื่อข้อความเร่งด่วนเพราะกลัวบัญชีถูกล็อก ขณะที่เด็กและวัยรุ่นอาจแชร์รหัสหรือข้อมูลเพื่อต้องการการยอมรับในโลกออนไลน์

หนึ่งในวิธีการออกแบบระบบเพื่อ “สะกิด” ให้ผู้ใช้คิดก่อนคลิก คือการประยุกต์ใช้หลัก Digital Nudging โดยเฉพาะการเลือกใช้ Framing Message หรือการวางกรอบข้อความสื่อสารที่นำไปสู่พฤติกรรมที่ปลอดภัย ตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนจาก “คุณแน่ใจหรือไม่ว่าจะดาวน์โหลดซอฟต์แวร์นี้” เป็น “ถ้าคุณดาวน์โหลด อุปกรณ์ของคุณอาจติดมัลแวร์ได้” ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้ตระหนักถึงผลกระทบและหยุดคิดก่อนตัดสินใจคลิก

แม้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงเพียงไม่กี่คำ แต่กรอบการสื่อสารมีอิทธิพลอย่างมากต่อการตัดสินใจของมนุษย์ เทคนิคที่ได้ผลดี เช่น การใช้ตัวเลขจำนวนมากเพื่อสร้างความรู้สึกรุนแรง, การพูดถึงตัวผู้ใช้โดยตรงเพื่อให้เกิดความเชื่อมโยง, และการเน้นผลเสียที่จะเกิดขึ้นมากกว่าผลดีที่จะได้รับ เพราะโดยทั่วไปแล้วคนส่วนใหญ่มักตอบสนองต่อสิ่งที่ “กลัวจะเสีย” มากกว่า

ท้ายที่สุดแล้ว นวัตกรรมหรือโซลูชันที่ดีจึงไม่ใช่แค่ความอัจฉริยะ แต่ต้องสามารถทำให้คนหมู่มาก หรือแม้แต่คนธรรมดาทั่วไป สามารถปกป้องตนเองได้ แม้ในวันที่ยังไม่รู้ว่ากำลังตกอยู่ในอันตราย

มุมมองทั้งสามจากวิทยากรสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การรับมือกับภัยไซเบอร์ในวันนี้ ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของเทคโนโลยีอันล้ำสมัย แต่คือการทำความเข้าใจมนุษย์ พฤติกรรม และความเปราะบางในชีวิตประจำวันของผู้คนอย่างลึกซึ้ง

True CyberSafe

มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยบนไซเบอร์: การสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยจากภายใน

ข้อมูลที่วิทยากรทั้งสามท่านนำเสนอได้ฉายภาพให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ภัยคุกคามไซเบอร์ในปัจจุบันไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพียงช่องโหว่ทางเทคนิคเท่านั้น แต่ได้วิวัฒนาการไปสู่การโจมตี “มนุษย์” ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่สำคัญที่สุดในระบบนิเวศไซเบอร์ การรับมือกับอาชญากรรมไซเบอร์ที่ซับซ้อนขึ้นนี้ จึงต้องอาศัยแนวทางแบบองค์รวมที่ผนวกเทคโนโลยี, นโยบาย, และที่สำคัญที่สุดคือ “การสร้างความเข้าใจและพฤติกรรมความปลอดภัยให้กับผู้ใช้งาน”

สิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่เราต้องให้ความสนใจคือ การสร้าง “วัฒนธรรมความปลอดภัยไซเบอร์” (Cybersecurity Culture) ให้เกิดขึ้นในทุกระดับ ตั้งแต่บุคคล องค์กร ไปจนถึงระดับประเทศ การที่ประเทศไทยติดอันดับ 7 ของโลกด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ตามดัชนี GCI ของ ITU นั้นเป็นเรื่องน่ายินดี แต่เราก็ต้องไม่หยุดนิ่ง เพราะภัยคุกคามอย่าง Deepfake AI ที่ พ.ต.ปวิชได้กล่าวถึง สะท้อนให้เห็นว่าผู้โจมตีมักจะใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเพื่อสร้างกลลวงที่น่าเชื่อถือมากขึ้นเรื่อย ๆ

ขณะเดียวกัน สิ่งที่ พ.ต.อ.เกรียงไกร ชี้ให้เห็นถึงการโจมตีที่ “สมอง” ของเรา ผ่าน Confirmation Bias และ Social Proof นั้น เป็นประเด็นที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน การที่เราจะสร้างนวัตกรรมที่ “เตือนเหยื่อได้ขณะกำลังตัดสินใจ” ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมันต้องอาศัยความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงจิตวิทยา พฤติกรรม และบริบทการใช้งานของผู้คนจริงๆ อย่างที่ ผศ.ดร. ภัทรวรรณ เน้นย้ำถึงการใช้หลัก Digital Nudging เพื่อ “สะกิด” ผู้ใช้ให้คิดก่อนคลิก ถือเป็นแนวทางที่น่าสนใจและมีประสิทธิภาพมาก เพราะเป็นการออกแบบระบบให้เอื้อต่อการตัดสินใจที่ปลอดภัย โดยไม่ต้องอาศัยความรู้เชิงเทคนิคที่ซับซ้อนจากผู้ใช้งานมากนัก

สำหรับนักพัฒนาและสตาร์ทอัพที่เข้าร่วมโครงการ True CyberSafe x TrueMoney Hackathon Thailand 2025 นี้ นอกจากการพัฒนาเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยแล้ว ขอให้คำนึงถึง “ประสบการณ์ผู้ใช้งาน” (User Experience – UX) และ “การออกแบบที่เน้นมนุษย์เป็นศูนย์กลาง” (Human-Centered Design) เป็นหัวใจสำคัญในการสร้างสรรค์นวัตกรรม นั่นหมายถึง:

ทำความเข้าใจผู้ใช้งานอย่างลึกซึ้ง: ไม่ใช่แค่ว่าพวกเขาทำอะไร แต่ทำไมพวกเขาถึงทำอย่างนั้น มีความกลัวอะไร มีความเชื่อแบบไหน ใช้ชีวิตประจำวันอย่างไร นวัตกรรมที่ดีจะต้องสามารถผสานเข้ากับวิถีชีวิตของผู้คนได้อย่างเป็นธรรมชาติ

มุ่งเน้นการป้องกันเชิงรุกและเชิงพฤติกรรม: แทนที่จะไล่ตามแก้ไขปัญหาหลังจากเกิดเหตุแล้ว ควรเน้นการสร้างเครื่องมือที่ช่วยป้องกันหรือลดความเสี่ยงตั้งแต่ต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการ “สร้างภูมิคุ้มกันทางจิตวิทยา” ให้กับผู้ใช้งาน เพื่อให้พวกเขารู้เท่าทันกลโกงและสามารถปกป้องตนเองได้

สร้างความเรียบง่ายแต่ทรงพลัง: เทคโนโลยีความปลอดภัยไม่จำเป็นต้องซับซ้อนเสมอไป นวัตกรรมที่ใช้งานง่าย เข้าถึงได้ทุกคน และสามารถนำไปปรับใช้ได้จริงในสถานการณ์ต่างๆ จะมีผลกระทบที่กว้างขวางกว่า

การที่เวที Hackathon นี้เปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมถือเป็นนิมิตหมายที่ดี เพราะการรับมือกับภัยไซเบอร์เป็นความรับผิดชอบของทุกคน ไม่ใช่แค่ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคเท่านั้น การรวมพลังความคิดจากหลากหลายสาขา จะนำไปสู่โซลูชันที่ครอบคลุมและยั่งยืน เพื่อสร้างอนาคตที่ปลอดภัยบนโลกออนไลน์ได้อย่างแท้จริง