intel core ultra series2 h scaled 1
|

รีวิวซีพียู Intel Core Ultra 9 285H ขุมพลังสุดแกร่งของ MSI Prestige 16 AI Evo B2HMG

อินเทลได้ส่งซีพียู Intel Core Ultra 9 285H ลงตลาดโน้ตบุ๊กประสิทธิภาพสูงมาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2025 แล้ว แต่ว่าเราเพิ่งจะมีโอกาสได้ทดสอบประสิทธิภาพเมื่อไม่นานมานี้ และมีช่วงเวลาการทดสอบแบบลองใช้งานอยู่ประมาณสามสัปดาห์ผ่านทาง MSI Prestige 16 AI Evo B2HMG ซึ่งเป็นโน้ตบุ๊กแบบบางเบาที่ออกแบบมาสำหรับกลุ่มนักสร้างคอนเทนต์และการทำงานในระดับมืออาชีพ

MSI Prestige 16 AI Evo B2HMG ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้งานระดับมืออาชีพที่ต้องการความสมดุลระหว่างประสิทธิภาพการทำงานระดับสูงกับรูปลักษณ์ที่ดูดีและสะดวกต่อการพกพา โน้ตบุ๊กเครื่องนี้เน้นการออกแบบที่ เรียบหรู มินิมอล และพรีเมียม เป็นหลัก

ตัวเครื่องมาในสี Stellar Gray (สีเทา) ที่ดูสุขุม นุ่มลึก และเป็นมืออาชีพ การออกแบบโดยรวมมีความเรียบง่าย เส้นสายสะอาดตา ไม่มีองค์ประกอบที่ฉูดฉาดแบบโน้ตบุ๊กเกมมิ่ง ทำให้เหมาะกับการใช้งานในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจหรือสร้างสรรค์ผลงาน

โครงสร้างภายนอกทำจาก แมกนีเซียม-อะลูมิเนียมอัลลอยด์ (Magnesium-Aluminum Alloy Chassis) ซึ่งเป็นวัสดุที่เน้นความแข็งแรงทนทาน ขณะเดียวกันก็ช่วยให้น้ำหนักเบาลงได้มาก นอกจากนี้ยังมีการใช้เทคโนโลยีการขึ้นรูปขั้นสูงเพื่อให้ได้ตัวเครื่องที่เป็นเนื้อเดียวกัน ไร้รอยต่อ ให้สัมผัสที่มั่นคงและมีคุณภาพสูง โลโก้ MSI ที่ฝาหลังถูกออกแบบให้มีความกลมกลืนกับตัวเครื่อง ไม่ได้โดดเด่นจนเกินไป คงไว้ซึ่งความพรีเมียม

จุดเด่นสำคัญของ Prestige 16 AI Evo B2HMG คือความสามารถในการเป็นโน้ตบุ๊กหน้าจอ 16 นิ้วที่ บางและเบาเป็นพิเศษ เมื่อเทียบกับโน้ตบุ๊กในกลุ่มเดียวกัน มีน้ำหนักเริ่มต้นที่ประมาณ 1.5 กิโลกรัม ซึ่งถือว่าเบาอย่างน่าประทับใจสำหรับโน้ตบุ๊กที่มีขนาดหน้าจอ 16 นิ้ว ทำให้สามารถพกพาไปทำงานนอกสถานที่ได้อย่างสะดวกสบาย

MSI Prestige 16 AI Evo B2HMG นั้นมีสเปคเครื่องที่ค่อนข้างหลากหลายโดยเฉพาะซีพียูก็จะมีตัวเลือกตั้งแต่ Core Ultra 5, 7 และ 9 ซึ่งรุ่นที่เราได้รับมาทดสอบในครั้งนี้ก็คือ Core Ultra 9 285H พร้อมกับกราฟิก Intel Arc 140T ในตัว ส่วนจอภาพมีความละเอียด 2560×1600 ถือว่าลงตัวดีกับจอขนาด 16 นิ้ว

คุณสมบัติIntel Core Ultra 9 285H
สถาปัตยกรรมArrow Lake-H
จำนวนคอร์/เธรด16 คอร์ (6 P-cores + 8 E-cores + 2 LP E-cores) / 16 เธรด
ความเร็วสูงสุด5.4 GHz (P-Core)
แคช24 MB
กราฟิกIntel Arc 140T GPU (8 Xe-cores, 2.35 GHz)
NPUIntel AI Boost
TDP45W (สูงสุด 115W)
คุณสมบัติMSI Prestige 16 AI Evo (รุ่นที่ทดสอบ)
หน้าจอ16 นิ้ว QHD+ (2560×1600) IPS-Level
หน่วยความจำ32GB LPDDR5
ที่เก็บข้อมูล1TB NVMe SSD
การเชื่อมต่อ2x Thunderbolt 4, 1x USB 3.2 Gen 1 Type-A, 1x HDMI 2.1, SD Card Reader, Wi-Fi 7, Bluetooth 5.4
แบตเตอรี่99.9 Whr
น้ำหนักประมาณ 1.5 กก.

Intel Core Ultra 200H Series (Arrow Lake-H)

ก่อนจะไปลงรายละเอียดเชิงลึกและการทดสอบของ Core Ultra 9 285H เรามาทำความรู้จักภาพรวมของซีพียูในซีรีส์นี้ทั้งหมดกันก่อนดีกว่าครับ เผื่อว่าคุณผู้อ่านกำลังสนใจโน้ตบุ๊กที่ใช้ซีพียูในกลุ่มเดียวกันนี้ ซึ่งก็คือ Core Ultra 200H Series จะได้มีข้อมูลเพื่อไปทำความเข้าใจ และใช้ข้อมูลนี้ตัดสินใจเลือกใช้ซีพียูในกลุ่ม Core Ultra 200H ได้อย่างตรงกับความต้องการมากยิ่งขึ้น

ซีพียูในกลุ่ม Core Ultra 200H จะมีชื่อรหัสว่า Arrow Lake-H และก็เป็นหนึ่งในกลุ่มย่อยของ Arrow Lake ที่ประกอบไปด้วย Arrow Lake-S สำหรับเดสก์ท็อป, Arrow Lake-U สำหรับโน้ตบุ๊กหรืออุปกรณ์ที่ใช้พลังงานต่ำมากสำหรับแพลตฟอร์โน้ตบุ๊กแบบ Ultra Thin และ Arrow Lake-H/HX ซึ่งเป็นทั้งซีพียูประสิทธิภาพสูงและใช้พลังงานต่ำโดยส่วนใหญ่จะใช้กับโน้ตบุ๊กแบบบางเบา โน้ตบุ๊กประสิทธิภาพสูงในกลุ่มเกมมิ่ง และอาจจะพบได้ในแพตฟอร์มแบบ Mini-PC หรือ All-in-One PC เป็นต้น ซึ่งซีพียู Core Ultra 9 285H ก็อยู่ในกลุ่มหลังนี้

สถาปัตยกรรมแบบไฮบริด

หัวใจสำคัญของซีพียูในกลุ่ม Arrow Lake ก็คือสถาปัตยกรรมไฮบริดขั้นสูงที่มีคอร์ประมวลผลหลายแบบมาทำงานร่วมกัน ซึ่งเราคุ้นเคยกันดีกับชื่อของ P-core (Performance core, คอร์ประสิทธิภาพสูง) และ E-core (Efficiency core, คอร์ประหยัดพลังงาน) ซึ่งจะมีอยู่ทั้งซีพียูสำหรับเดกส์ท็อปและซีพียูสำหรับโน้ตบุ๊ก โดยอินเทลได้เริ่มนำสถาปัตยกรรมแบบไฮบริจขั้นสูงนี้มาใช้งานตั้งแต่สมัยซีพียู อินเทล คอร์ เจนฯ 12 (Alder Lake) ที่เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2021

การมีคอร์หลายหลายประเภทนี้เป็นความท้าทายทางสถาปัตยกรรมในการจัดสรรทรัพยากรการประมวลผลที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเวิร์กโหลดที่มีความหลากหลายสูง แนวทางนี้ช่วยให้ระบบสามารถมอบประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับงานที่ต้องการพลังประมวลผลสูง และในขณะเดียวกันก็จัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพสำหรับงานเบื้องหลัง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งสำหรับอุปกรณ์พกพา

P-core, E-core และ LP E-core รุ่นใหม่ใน Arrow Lake-H

สถาปัตยกรรมไฮบริดของ Arrow Lake-H ประกอบด้วยคอร์ประมวลผลสามประเภทหลักที่ทำงานร่วมกัน:

  • Performance-cores (P-core): คอร์ประสิทธิภาพสูงที่ออกแบบมาเพื่อรองรับเวิร์กโหลดที่ต้องการการประมวลผลแบบ Single-thread และเวิร์กโหลดที่หนักหน่วง
  • Efficient-cores (E-core): คอร์ประสิทธิภาพที่เน้นการใช้พลังงานต่ำ เหมาะสำหรับเวิร์กโหลดแบบ Multi-thread และงานพื้นหลังที่ไม่ต้องการประสิทธิภาพสูงสุด
  • Low Power E-core (LP E-core): คอร์ประหยัดพลังงานพิเศษที่อยู่ใน SoC Tile ซึ่งออกแบบมาเพื่อจัดการกับงานเบา ๆ และงานในสถานะที่ระบบใช้พลังงานต่ำมาก เพื่อยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ (LP E-core นี้จะมีในซีพียูเพียงบางรุ่นเท่านั้น)

เพื่อให้การทำงานร่วมกันของคอร์เหล่านี้เป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพสูงสุดอินเทลได้ออกแบบ Intel Thread Director ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ฝังอยู่ในระดับฮาร์ดแวร์ ทำหน้าที่ตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูลประสิทธิภาพของเธรดแต่ละตัวแบบเรียลไทม์ และให้ข้อมูลแก่ระบบปฏิบัติการเพื่อจัดสรรเธรดของแอปพลิเคชันไปยังคอร์ที่เหมาะสมที่สุด ณ เวลานั้น ๆ กลไกนี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพต่อวัตต์โดยทำให้มั่นใจว่างานที่ต้องการประสิทธิภาพสูงจะถูกส่งไปยัง P-core ในขณะที่งานพื้นหลังจะถูกจัดการโดย E-core หรือ LP E-core

Intel Thread Director Architecture
รูปแสดงหลักการทำงานของ Intel Thread Director

ซีพียู Core Ultra 200H เพิ่มประสิทธิภาพของ P-core และ E-core โดยใช้สถาปัตยกรรมใหม่ Lion Cove สำหรับ P-core และ Skymont สำหรับ E-core ตามลำดับ สถาปัตยกรรมไฮบริดประสิทธิภาพสูงนี้รวมเอาสถาปัตยกรรมไมโครหลักสองแบบคือ P-cores และ E-cores เข้าไว้ในซีพียูไดเดียวกัน ไม่ได้แบ่งแยกออกเป็น Tile หรือ Chiplet

Lion Cove สำหรับ P-core: Lion Cove เป็นสถาปัตยกรรม P-core รุ่นใหม่ของอินเทลที่เน้นประสิทธิภาพต่อเธรดสูงสุด โดยมีจุดเด่นสำคัญดังนี้:

  • การปรับปรุง IPC (Instructions Per Cycle): เพิ่มขึ้น 23.2% ในงาน integer และ 15.8% ในงาน floating point เมื่อเทียบกับ Redwood Cove ใน Meteor Lake ทำให้ประสิทธิภาพเดี่ยวเธรดใกล้เคียงกับ AMD Strix Point และ Ryzen 9 7950X3D มากขึ้น
  • การปรับโครงสร้าง Cache: เพิ่ม L1.5 cache ขนาด 192 KB (latency 9 cycles) ระหว่าง L0 (เดิมคือ L1, 48 KB) และ L2 (เพิ่มจาก 2 MB เป็น 2.5 MB) เพื่อลด latency จาก L1 miss และรองรับ L2 ที่ใหญ่ขึ้น รวมถึงลด latency ของ L3 และ DRAM ลงเหลือ 112.4 ns ภายใต้โหลด
  • หน่วยประมวลผล Out-of-Order: แยก scheduler สำหรับ integer และ floating point/vector ออกเป็น 2 ตัว (รวมกว่า 200 entries) เพิ่ม execution ports จาก 12 เป็น 18 เพื่อจัดการงานที่ latency สูงได้ดีขึ้น
  • Frontend และ Branch Prediction: Decoder กว้างขึ้นเป็น 8-wide (จาก 6-wide) Micro-op cache ใหญ่ขึ้นเป็น 5,250 entries (จาก 4,096) และปรับปรุง BTB เป็น 3 ระดับเพื่อคาดการณ์ branch ได้แม่นยำกว่าเดิม
  • อื่นๆ: Hyper-Threading เป็นตัวเลือก (ไม่บังคับ) และปรับปรุง TLB สำหรับ 4K pages เป็น 128 entries เพื่อลด page walk

Skymont สำหรับ E-core: Skymont เป็นสถาปัตยกรรม E-core ใหม่ที่สืบเชื้อสายจาก Atom โดยมุ่งเน้นประสิทธิภาพพลังงานต่ำและ multitasking จุดเด่นสำคัญ ได้แก่:

  • การปรับปรุง IPC: เพิ่มขึ้นแบบ double-digit (เช่น 1.56x ในงาน Y-Cruncher หรือจาก 3.39 เป็น 4.21 ใน 548.exchange2) เมื่อเทียบกับ Crestmont ใน Meteor Lake แม้บางงาน cache-unfriendly จะลดลงเล็กน้อย
  • Frontend: เพิ่ม decode clusters เป็น 3 ตัว (รองรับ 9 instructions ต่อ cycle) Micro-op queue ใหญ่ขึ้นเป็น 96 entries (จาก 64) และปรับปรุง branch prediction ให้แม่นยำขึ้น (จาก 98.09% เป็น 98.21% ใน SPEC CPU2017) ด้วย BTB ขนาด 8K entries และ return stack 128 entries
  • หน่วยประมวลผล Execution: Reorder buffer (ROB) ใหญ่ขึ้นเป็น 416 entries (จาก 256) Integer scheduler เพิ่มเป็น 20 entries พร้อม 2 ports ต่อตัว Quad-pipe FPU ที่ทุก pipe จัดการ FP และ vector ได้ ลด latency การหาร FP เป็น 2.5 cycles (จาก 5) และ integer multiply 64-bit เป็น 4 cycles (จาก 5)
  • Load/Store และ Address Translation: เพิ่ม AGU เป็น 7 ตัว (3 load, 4 store) ลด latency store forwarding ในบางกรณีเหลือ 2 cycles L2 TLB ใหญ่ขึ้นเป็น 4,096 entries และ L2 bandwidth เพิ่มเป็น 128 bytes ต่อ cycle (จาก 64)
  • อื่นๆ: Cache latency L1D เพิ่มเป็น 4 cycles แต่ L2 ลดเหลือ 19 cycles และ DRAM latency ดีขึ้นเป็น 133 ns ภายใต้โหลดสูง ใช้ TSMC N3B process เพื่อประหยัดพลังงานในงานเบาและ background tasks

สถาปัตยกรรมแคช (L-Cache)

สถาปัตยกรรมแคชแบบหลายระดับ (L-Cache) มีบทบาทสำคัญในการลดความหน่วงและเพิ่มความเร็วในการเข้าถึงข้อมูล สำหรับซีพียูในกลุ่ม Core Ultra 200H ซีรีส์ ใน P-core มีการใช้สถาปัตยกรรมแคชข้อมูลสองระดับ ประกอบด้วย L0 Data Cache ขนาด 48KB และ L1 Data Cache ขนาด 192KB ซึ่งแตกต่างจาก Core Ultra 200U ซีรีส์ ที่ใช้ L1 Data Cache ขนาด 48KB เพียงระดับเดียว ตารางด้านล่างสรุปโครงสร้างแคชสำหรับซีพียู H-Series และ U-Series

ประเภทแคช200H Series200U Series
P-core L0 Data48KB, 12-way set-associativeไม่มี
P-core L1 Instruction64KB, 16-way set-associative64KB, 16-way set-associative
P-core L1 Data192KB, 12-way set-associative48KB, 12-way set-associative
P-core L23MB, 12-way set-associative2MB, 16-way set-associative
E-core L1 Instruction64KB, 16-way set-associative64KB, 16-way set-associative
E-core L1 Data32KB, 8-way set-associative32KB, 8-way set-associative
E-core L24MB, 16-way (ต่อโมดูล 4 คอร์)4MB, 16-way (ต่อโมดูล 4 คอร์)
LP E-core L1 Instruction64KB, 16-way set-associative64KB, 16-way set-associative
LP E-core L1 Data32KB, 8-way set-associative32KB, 8-way set-associative
LP E-core L22MB, 16-way (ต่อโมดูล 2 คอร์)2MB, 16-way (ต่อโมดูล 2 คอร์)
L3 (Intel Smart Cache)สูงสุด 3MB ต่อ P-core / E-core moduleสูงสุด 3MB ต่อ P-core / E-core module

Intel Smart Cache ทำหน้าที่เป็น Last Level Cache (LLC) ที่ใช้ร่วมกันระหว่างคอร์ประมวลผลทั้งหมดใน Compute tile ช่วยให้การแบ่งปันข้อมูลระหว่างคอร์เป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ลดความจำเป็นในการเข้าถึงหน่วยความจำหลักที่มีความเร็วน้อยกว่าหลายเท่า

หน่วยประมวลผลเฉพาะทาง (NPU, IPU6, GNA 3.0)

นอกเหนือจากคอร์ประมวลผลทั่วไป ซีพียู Core Ultra ยังรวมหน่วยประมวลผลเฉพาะทางเพื่อเร่งการทำงานบางประเภทโดยเฉพาะและลดภาระของซีพียูอีกด้วย และโดยปกติแล้วเรามักจะได้ยินเฉพาะชื่อของ NPU ซึ่งเป็นการโปรโมตถึงเรื่องหน่วยประมวลผลที่ออกแบบมารองรับด้าน AI โดยเฉพาะ แต่ความจริงแล้วในซีพียู Arrow Lake-H/U ทั้งหมดยังมีหน่วยประมวลผลอื่น ๆ ที่นอกเหนือจาก NPU มาด้วย

  • Neural Processing Unit (NPU): เป็นหน่วยประมวลผลที่ออกแบบมาเพื่อเร่งการทำงานของ AI และ Machine Learning โดยเฉพาะ โครงสร้างของ NPU ประกอบด้วย Processor subsystem และ NCE (Neural Compute Engine) subsystem ที่ทำงานร่วมกันเพื่อประมวลผลโครงข่ายประสาทเทียมได้อย่างมีประสิทธิภาพและใช้พลังงานต่ำ เหมาะสำหรับงาน AI ที่ทำงานต่อเนื่อง เช่น การเบลอพื้นหลังในวิดีโอคอล หรือการวิเคราะห์ภาพ
  • Image Processing Unit (IPU6): เป็นหน่วยประมวลผลภาพที่รับผิดชอบการจัดการไปป์ไลน์ของกล้องทั้งหมด ตั้งแต่การรับข้อมูลจากเซ็นเซอร์ไปจนถึงการประมวลผลภาพขั้นสุดท้าย โดยรองรับฟังก์ชันสำคัญ เช่น การชดเชยระดับสีดำ (black level compensation), การปรับสมดุลสีขาว (white balance), และการปรับขนาดภาพ (scaling) ซึ่งช่วยให้ได้ภาพถ่ายและวิดีโอคุณภาพสูงโดยไม่ต้องใช้ทรัพยากรจาก CPU หรือ GPU
  • Gaussian & Neural-Network Accelerator (GNA 3.0): เป็นหน่วยเร่งความเร็วที่ออกแบบมาสำหรับงานด้านการรู้จำเสียง (speech recognition) และการประมวลผลเสียงโดยเฉพาะ GNA ทำงานโดยใช้พลังงานต่ำมาก ทำให้สามารถเปิดใช้งานฟังก์ชันสั่งการด้วยเสียงได้ตลอดเวลาโดยไม่ส่งผลกระทบต่ออายุแบตเตอรี่อย่างมีนัยสำคัญ

การผสานรวมสถาปัตยกรรมคอร์ที่หลากหลายและหน่วยประมวลผลเฉพาะทางเหล่านี้ ก่อให้เกิดความท้าทายในการจัดสรรพลังงานอย่างชาญฉลาด นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมซีพียูสำหรับโน้ตบุ๊กของอินเทลรุ่นใหม่จึงประหยัดพลังงานอย่างก้าวกระโดดเมื่อเทียบซีพียูในรุ่นก่อน ๆ

Intel Arc 140T iGPU

Intel Arc Graphics 140T กราฟิกที่ตอบสนองทุกความสร้างสรรค์

Intel Core Ultra 9 285H มาพร้อมกับ Intel Arc 140T GPU ในตัว แพลตฟอร์มนี้สร้างขึ้นบนสถาปัตยกรรม Xe with XMX หรือ Xe LPG+ architecture ซึ่งเป็นการปรับปรุงสถาปัตยกรรม Xe ที่พบในซีรีส์ Intel Core Ultra 100H GPU ที่อัปเดตนี้ให้ประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น +20% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า สำหรับการประมวลผล เวิร์กโหลด AI, Ray Tracing และการเล่นเกม

คุณสมบัติหลักของ Intel Arc 140T GPU:

  • แคช L2 เพิ่มขึ้น 2 เท่า โดยมี 8MB สำหรับ GPU โดยเฉพาะ
  • มี 2 Render Slices โดยแต่ละ Slice มี 4 Xe-cores รวมเป็น 8 Xe-cores
  • รองรับ DirectX 12 Ultimate อย่างเต็มรูปแบบ รวมถึง Hardware Ray Tracing และ Mesh Shading
  • แต่ละ Xe-core มี 16 Xe Vector Engines (XVEs) สำหรับการประมวลผล SIMD8
  • สถาปัตยกรรม LPG+ รวม Xe Matrix Extension (XMX) ซึ่งให้ประสิทธิภาพ 4x deep ต่อ Slice และรองรับประเภทข้อมูล INT4, INT8, FP16 และ BF16 คุณสมบัตินี้ช่วยให้สามารถประมวลผลเวิร์กโหลด AI ได้อย่างยอดเยี่ยมและรองรับการอัปสเกลเกมด้วย Intel XeSS AI ซึ่งเป็นความสามารถที่ไม่มีในสถาปัตยกรรม LPG รุ่นก่อน
  • LPG+ ยังรวม Ray-Tracing Unit (RTU) เฉพาะ เพื่อจัดการกับการคำนวณที่รวดเร็วและแม่นยำที่จำเป็นสำหรับ Real-Time Ray Tracing ซึ่งช่วยให้แสงและการสะท้อนสมจริง RTU แต่ละตัวมาพร้อมกับท่อส่งข้อมูล traversal เพิ่มเติมที่ให้ประสิทธิภาพ 2 เท่า และหน่วย ray-triangle intersection 1 หน่วย ทำให้ RTU แต่ละตัวสามารถทำการทดสอบ box intersection ได้ 12 ครั้งต่อรอบสัญญาณนาฬิกา
Intel Core Ultra Series Media Engine

Xe Media Engine กับงานวิดีโอความละเอียดสูง

หลายคนสงสัยว่าทำไมเหล่าครีเอเตอร์สายตัดต่อวิดีโอจำนวนไม่น้อยถึงเลือกใช้เพียงแค่ iGPU ก็พอแล้วไม่ต้องไปมองหาโน้ตบุ๊กที่ใช้การ์ดจอแยกเหมือนในกลุ่มเกมมิ่ง คำตอบก็คือใน iGPU ของอินเทลจะมีพร้อมกับ Xe Media Engine ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งานมีเดียประเภทวิดีโอที่ครอบคลุมมากที่สุด โดยมีขีดความสามารถชั้นนำในอุตสาหกรรมวิดีโอสำหรับ Codecs, Bit Depths และ Chroma Subsampling

  • มีประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยมสำหรับนักสร้างภาพยนตร์มืออาชีพและอิสระ รองรับการเข้ารหัสและถอดรหัส HEVC 4:2:2 ซึ่งเป็นรูปแบบที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในกล้องมืออาชีพ
  • ตอบสนองความต้องการในการเล่นวิดีโอ 4K ที่ยาวนานบนแพลตฟอร์มเช่น YouTube หรือ Netflix และรองรับการนำ AV1 codec ที่เติบโตอย่างรวดเร็วมาใช้งาน
  • Xe Media Engine สามารถจัดการเวิร์กโหลดวิดีโอ 8K 10-bit HDR 30 FPS ได้ผ่าน Dual Multi-Format Codec Engines (MFXs) และ เล่นวิดีโอ 8K 10-bit HDR 60 FPS ได้บน MFX เดี่ยว

นอกจากส่วนของ Xe Media Engine แล้วในส่วนของการเชื่อมต่อกับจอภาพอินเทลก็ได้ปรับปรุง Display Engine ให้มีความสามารถในการรองรับจอภาพด้วยความละเอียดที่หลากหลายรวมถึงอัตรารีเฟรชเรตในระดับสูงด้วยเช่นกัน ได้แก่

  • จอภาพเดี่ยวที่มีความละเอียด สูงสุด 8K ที่ 60Hz พร้อม HDR โดยใช้มาตรฐาน HDMI 2.1 หรือ DisplayPort 2.1 ล่าสุด
  • สามารถรองรับจอภาพภายนอกได้ สูงสุด 4 จอที่ 4K พร้อม HDR ที่ 60Hz
  • พาเนลหน้าจอในตัวของโน้ตบุ๊กสามารถติดตั้งจอที่รองรับอัตรารีเฟรช สูงสุด 120Hz ที่ความละเอียด WQUXGA (3840×2400) ด้วยการรองรับ eDP1.4b

Intel Xe Super Sampling 2 (XeSS 2)

แม้ว่า iGPU อย่าง Intel Arc 140T จะไม่ได้โดดเด่นกับการเล่นเกมในระดับ AAA แต่ถ้าเป็นเกมแนว eSports หรือเกมแนวผ่อนคลายก็ยังพอจะรองรับไหว แต่อาจจะต้องลดความละเอียดมาที่ระดับ Full-HD แล้วเปิดการใช้งาน XeSS 2 เพิ่ม ซึ่งเดี๋ยวเราจะให้ดูในส่วนของการทดสอบ

XeSS 2 จะมาพร้อมกับสองคุณสมบัติที่ล้ำหน้าคือ XeSS Frame Generation (XeSS-FG) และ Xe Low Latency (XeLL) เมื่อรวมกับ XeSS Super Resolution (XeSS-SR) นักพัฒนาจึงมีเครื่องมือมากขึ้นในการปรับปรุงคุณภาพของภาพ, ประสิทธิภาพ และการตอบสนองของเกมสมัยใหม่ เกมที่รองรับ XeSS 2 ทั้งหมดจะรองรับเทคโนโลยีทั้งสามนี้

  • XeSS Frame Generation ช่วยเพิ่มความลื่นไหลในการเล่นเกมอย่างมากโดยการเพิ่มเฟรมเรตผ่านการประมาณค่าเฟรมด้วย AI
  • Xe Low Latency ช่วยให้ประสบการณ์การเล่นเกมตอบสนองได้ดีขึ้นและสมจริงยิ่งขึ้นโดยลดความล่าช้าระหว่างการกระทำของคุณและการตอบสนองบนหน้าจอ
  • XeSS 2 ให้ประสิทธิภาพการสเกลสูงถึง 3.6x เมื่อเทียบกับ Native และสูงสุด 2.4x เมื่อเทียบกับ XeSS 2 ที่ใช้ SR เพียงอย่างเดียว ในเกม Marvel® Rivals
  • XeLL สามารถให้การตอบสนองที่ดีขึ้น สูงสุด 24% เมื่อเปิดใช้งานเทียบกับการเล่นเกมแบบ Native ใน Marvel® Rivals
  • เทคโนโลยีเหล่านี้เมื่อใช้ร่วมกัน (SR, LL, FG) จะช่วยเพิ่มเฟรมเรตอย่างมาก (สูงสุด 3.6x) โดยมีความหน่วงต่ำกว่าการเล่นเกมที่ไม่ได้ใช้ XeSS 2

การทดสอบ

มาถึงตรงนี้ก็ถือว่าได้ทำความรู้จักกับซีพียู Intel Core Ultra 9 285H กันไปพอสมควรแล้ว ตอนนี้ก็ถึงเวลาทำการทดสอบประสิทธิภาพกันแล้วครับ แต่ก็ขอแจ้งให้ทราบในเบื้องต้นก่อนว่าเนื่องจากโน้ตบุ๊กที่เราได้รับมาทำการทดสอบนี้เป็นรุ่น Engineering sample ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบข้อมูลของ iGPU ที่เป็นรุ่น Intel Arc 140T ได้อย่างถูกต้องในบางแอปพลิเคชัน เราพยายามอัปเดตไบออสแล้วแต่เครื่องก็ไม่อนุญาติ เราจึงต้องทดสอบกันไปแบบนี้ แต่ว่าการใช้งานก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรนะครับ เพียงแต่การแสดงข้อมูลของ iGPU และอุณหภูมิในส่วนของ iGPU อาจจะไม่แสดงหรือคลาดเคลื่อนไป ตรงนี้ก็ให้ยึดอุณหภูมิที่ตัวซีพียูพิจารณาเป็นหลักเพราะโดยมากแล้ว iGPU จะมีความร้อนน้อยกว่าซีพียูเสมอครับ

นอกจากนี้ในการทดสอบ ผมตั้งค่าประสิทธิภาพของโน้ตบุ๊กไว้ด้วยโปรไฟล์แบบ Balance นะครับ ไม่ว่าจะเป็นการทดสอบด้วยการใช้อะแดปเตอร์ต่อไฟ หรือในระหว่างที่ทดสอบด้วยแบตเตอรี่ เพราะการใช้งานจริงผู้ใช้ส่วนใหญ่จะตั้งค่าไว้ที่ Balance เพื่อให้ตัวเครื่องจัดการเรื่องพลังงาน ความร้อน โดยอัตโนมัติ

ทดสอบระยะเวลาการใช้งานด้วยแบตเตอรี่

ทีแรกเราก็ไม่ได้คาดหวังเรื่องระยะเวลาการทำงานด้วยแบตเตอรี่มากนักเพราะเป็นโน้ตบุ๊กรุ่น ES ที่ผ่านการทดสอบมาแล้วหลายมือ ไม่รู้ว่ามีการชาร์ตก่อนหน้าเป็นอย่างไรบ้าง แต่หลังจากทดสอบใช้งานก็พบว่าถ้าเราชาร์ตเต็มก็สามารถพกพาออกไปทำงานนอกบ้านในระดับ 8 ชั่วโมงได้แบบสบาย ๆ แล้วยังเหลืออีกประมาณ 20-25% ก็แล้วแต่งานที่ทำในแต่ละวัน

PCMark8 Batt Test

ส่วนการทดสอบด้วยโปรแกรม PC Mark 8 ก็พบว่าสามารถรันได้อย่างต่อเนื่องในโหมด Balance ได้นานถึง 7 ชั่วโมง 46 นาที อันนี้ก็เกิดคาดเช่นกัน เพราะในการรัน PCMark 8 เป็นการรันแบบต่อเนื่องไม่มีการพัก ไม่เหมือนการใช้งานจริงที่บางช่วงเวลาเครื่องอาจจะพักหน้าจอไปเองบ้างหรือเข้า Sleep mode บ้าง ดั้งนั้นการรันด้วย PCMark 8 ได้ต่อเนื่องถึงระดับนี้ก็ถือว่าดีเกินคาดแล้วแบตเตอรี่ก็ยังเหลืออยู่ราว 10% ถือว่าไม่ธรรมดาสำหรับซีพียูในกลุ่ม 200H ที่เน้นประสิทธิภาพ แล้วซีพียูรุ่นที่เราทดสอบนี้ยังเป็นรุ่นประสิทธิภาพสูงสุดอย่าง Core Ultra 9 ที่จัดเต็มอีกด้วย

PCMark8 Home

เราลองมาเปรียบเทียบประสิทธิภาพการทดสอบด้วยการใช้พลังงานจากอะแดปเตอร์ดูบ้าง ก็จะเห็นได้ว่ามีเพียงการทดสอบด้วยเกมของ PCMark8 เท่านั้นที่การต่อไฟ แล้วทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ส่วนการทดสอบด้านอื่น ๆ นั้นการใช้เวลาในการทำงานก็ถือว่าใกล้เคียงกันพอสมควร

ไหน ๆ ก็ทดสอบประสิทธิภาพเปรียบเทียบการใช้พลังงานจากแบตเตอรี่แล้วก็มาดูกันเพิ่มเติมอีกสักสองการทดสอบ เริ่มด้วย CPU Profile จากโปรแกรม 3DMark ที่ทดสอบเวิร์คโหลดหนัก ๆ ตั้งแต่งานแบบเธรดเดี่ยวไปจนถึงงานหลายเธรด

จำนวนเธรด (Threads)คะแนน
(แบตเตอรี่)
คะแนน
(อะแดปเตอร์)
ส่วนต่างของคะแนน เปอร์เซ็นต์การลดลง
Max threads8,58411,9773,393≈28.3%
16 threads8,66311,4012,738≈24.0%
8 threads6,5858,1711,586≈19.4%
4 threads4,2354,868633≈13.0%
2 threads2,1382,501363≈14.5%
1-thread1,0541,262208≈16.5%

ดูการเปรียบเทียบแบบนี้ก็จะเห็นได้ค่อนข้างชัดเจนว่าประสิทธิภาพหายไปพอสมควรสำหรับการเปิดโหมด Balance แล้วทดสอบด้วยแบตเตอรี่ แต่ถ้าดูคะแนนเดี่ยว ๆ แม้จะเป็นการทดสอบด้วยการใช้แบตเตอรีก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่สูงพอตัวเลยทีเดียว ถ้าไปดูตรงเส้นสีม่วงเราจะเห็นได้ว่าความเร็วของซีพียูนั้นมีการปรับลดลงพอสมควรเพื่อไม่ให้ซีพียูทำงานด้วยความเร็วสูงจนสร้างความร้อนทำให้ระบบระบายความร้อนทำงานหนัก ส่วนการทดสอบด้วยการใช้พลังจากอะแดปเตอร์ซีพียูยังคงรักษาความเร็วไว้ได้ในระดับสูง โดยเฉพาะเมื่อทดสอบงานแบบเธรดเดี่ยวสามารถรักษาความเร็วในระดับ 5GHz ไว้ได้หลายส่วนในการทดสอบ

มาดูพลังของ NPU กันสักเล็กน้อย

GeekBench AI NPU

เราทดสอบด้วย Geekbench AI โดยใช้ตัวเลือก OpenVINO Framework เพื่อทดสอบประสิทธิภาพการทำงานของ NPU โดยตรงซึ่งคะแนนที่ได้ออกมาดังนี้

  • Single Precision Score: 6374
  • Half Precision Score: 10202
  • Quantized Score: 15987

คะแนน Quantized Score ของ Core Ultra 9 285H (15987) นั้น สูงกว่า คะแนนของรุ่นก่อนหน้าอย่าง Core Ultra 9 185H (ประมาณ 11000 อ้างอิงจากฐานข้อมูลของ Geekbench AI) ในการทดสอบ NPU แบบเดียวกัน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการปรับปรุงประสิทธิภาพด้าน AI ของ NPU ในสถาปัตยกรรมใหม่ Arrow Lake-H

ทดสอบประสิทธิภาพด้วย OCCT Benchmark

ผลการทดสอบด้วย OCCT Benchmark คะแนนที่ทดสอบจะแสดงเป็นสีฟ้านะครับ ส่วนคะแนนอื่น ๆ นั้นเป็นคะแนนจากฐานข้อมูลของโปรแกรมเองซึ่งทำให้เราได้เห็นภาพรวมได้ดีว่าซีพียูที่เราทดสอบนี้มีประสิทธิภาพในระดับใด

OCCT CPU Single SSE
OCCT CPU Single AVX
OCCT CPU Multi AVX

กราฟผลการทดสอบสองกราฟแรกที่เป็นการทดสอบแบบ Single Thread ก็จะเห็นได้ว่ามีคะแนนเฉลี่ยอยู่ในเกณฑ์ทั่วไป แต่พอเป็นการทดสอบด้าน Multiple Threads ก็จะเห็นได้ว่าคะแนนอยู่เหนือระดับค่าเฉลี่ยมาเล็กน้อย ตรงนี้ก็แสดงให้เห็นว่าการออกแบบระบบระบายความร้อนนั้นทำได้ดี ทำให้รักษาความเร็วของซีพียูได้ดีตลอดการทดสอบ

ทดสอบด้วย Blackmagic RAW

การทดสอบ Blackmagic RAW Speed Test แสดงประสิทธิภาพการ decode วิดีโอ RAW ในความละเอียดและ frame rate ต่างๆ โดยวัดทั้งซีพียูและ OpenCL (ซึ่งใช้ GPU) โดยรวมแล้ว ผลออกมาดีมาก โดยเฉพาะส่วนของซีพียูที่รองรับ 8K ได้สูงถึง 84 FPS ซึ่งเหมาะสำหรับการตัดต่อวิดีโอระดับมืออาชีพ ที่พรีวิวงานได้แบบ real-time เกือบทุก format (ยกเว้นบางกรณีใน 8K60) ส่วน OpenCL ก็ดีแต่ช้ากว่าซีพียูเล็กน้อยนั่นแสดงให้เห็นว่าซีพียูรุ่นนี้ทำงานได้อย่างทรงพลังมาก ๆ กับงานวิดีโอ

ทดสอบด้วย Blender Benchmark

Blender AC

ด้วยจำนวนคอร์ของ Core Ultra 9 285H ทำให้เป็นซีพียูที่เหมาะสำหรับงานสร้างสรรค์เนื้อหา อย่าง Blender, การตัดต่อวิดีโอ หรือ AI อย่างไม่ต้องสงสัย แต่เนื่องจากเป็นโน้ตบุ๊กจึงมีข้อจำกัดเรื่องความร้อนและพลังงานหลายคนเห็นแล้วอาจจะไปเทียบกับซีพียูระดับเดสก์ท็อปที่ใช้อยู่ที่มีคอร์เธรดน้อยกว่าอาจจะมองว่าทำคะแนนได้ไม่ดีนัก แต่ผมได้นำคะแนนที่ทดสอบไปเปรียบเทียบกับซีพียูในระดับใกล้เคียงกันเพื่อให้เห็นภาพรวม โดยใช้ข้อมูลเฉลี่ยจากฐานข้อมูล Blender Open Data เพื่อความแม่นยำ ก็พบกว่าคะแนนที่ออกมาก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดี

CPUประเภทMonster (SPM)Junkshop (SPM)Classroom (SPM)หมายเหตุ
Core Ultra 9 285H (ที่ทดสอบ)Mobile (16C/16T)114.5275.0755.31คะแนนที่เราทดสอบตรงกับค่าเฉลี่ยทั่วไป อยู่ในเกณฑ์ดีสำหรับซีพียูที่มี TDP 45-115W
Core Ultra 9 285H (เฉลี่ย)Mobile~112-115~74-76~54-56จาก 37+ การทดสอบใน Open Data; ดีกว่า Meteor Lake (185H) ~20-30%
Ryzen 9 7945HXMobile (16C/32T)~140-150~90-100~70-75เร็วกว่า 285H ~20-30% เนื่องจากเธรดมากกว่าและ TDP สูง (55-75W) กว่า
Core i9-13900HXMobile (24C/32T)~130-140~85-95~65-70เร็วกว่า 285H ~15-20% ด้วยจำนวนคอร์/เธรด (Raptor Lake)

ทดสอบประสิทธิภาพ Intel Arc 140T ด้วย 3DMark

การทดสอบต่าง ๆ เช่น Time Spy Score นี่ถือว่าเป็นมาตรฐานทั่วไปที่เอาไว้เปรียบเทียบกันได้หมดไม่ว่าจะเป็น GPU ระดับไหนบนพีซีหรือโน้ตบุ๊ก ซึ่งคะแนนออกมาก็ถือว่าดีในระดับของ iGPU

การทดสอบด้วย Steel Nomad Light เป็นการทดสอบแบบข้ามแพลตฟอร์มสำหรับ GPU บนอุปกรณ์พกพาซึ่ง Intel Arc 140T ก็ทำได้ดีเช่นกัน

3DMark Solar Bay

การทดสอบด้วย Solar Bay เป็นการทดสอบ GPU ในแบบข้ามแพลตฟอร์มเช่นกัน และแน่นอนว่าคะแนนสูงระดับนี้ก็ถือว่าปกติ

3DMark Wild Life Extreme

ท้ายสุดทดสอบด้วย Wild Life Extreme อันนี้ก็จะทดสอบจริงจังหน่อยสำหรับ GPU ในกลุ่มพีซีและโน้ตบุ๊กเหมาะสำหรับใช้ทดสอบ iGPU ด้วยกันเป็นอย่างมาก

ทดสอบด้วยเกม Forza Horizon 5

มาลองกับเกมจริง ๆ สักหนึ่งเกมกับเกมขับรถภาพสวยอย่าง Forza Horizon 5 เราทดสอบด้วยค่าความละเอียด 1080p ปรับภาพระดับปานกลาง ปิด Raytracing เพราะรู้กว่า iGPU ที่มีอยู่ไม่ไหวแน่ ๆ จากนั้นเปิด XeSS 2 เพื่อเพิ่มเฟรม ซึ่งผลการทดสอบที่ได้ก็ออกมาน่าประทับใจพอสมควรกับเฟรมเรตที่สูงกว่า 70FPS ส่วนคุณภาพของภาพนั้นก็อยู่ในเกณฑ์ที่รับได้อย่าลืมว่าเราเล่นบนหน้าจอขนาด 16 นิ้วเท่านั้น แม้จะลดความละเอียดและรายละเอียดภาพลงไป แต่ความคมชัดจากจำนวนพิกเซลของหน้าจอต่อพื้นที่ก็ยังให้ภาพที่สวยพอควร

ทดสอบด้วยเกม Rainbow Six Extraction

ขอใช้เกม Rainbow Six Extraction ที่เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2023 มาเป็นตัวแทนของเกมยิงแนว FPS และแทนเกมแนว eSports ที่ปกติแล้วเราก็จะไม่ได้รับรายละเอียดของภาพสูงมากนัก เราลองเล่นที่ความละเอียด 1K และ 2K โดยการปรับภาพ Low และ High มาเทียบกัน จำนวนเฟรมเรตก็เป็นตามผลการทดสอบด้านล่างนี้ครับ

RB6 1080 Low
1080p-Low
RB6 1080p High
1080p-High
RB6 1440 Low
1440p-Low
RB6 1440p High
1440p-High

การทดสอบด้วย Rainbow Six Extraction ก็ทำให้เราเห็นว่า iGPU อย่าง Intel Arc 140T ก็มีดีพอสำหรับการเล่นเกมเพื่อให้เราผ่อนคลายจากการทำงานได้ดีตามสมควรครับโดยเฉพาะกับเกมแนวแคชชวลทั้งหลายสามารถรองรับได้สบาย

อุณภูมิการทำงาน

เราใช้งานโน้ตบุ๊กรุ่นนี้ในห้องทำงานที่เปิดแอร์ประมาณ 26 องศาเซลเซียสตลอดทุกการทดสอบ และการใช้ทำงานตลอดวัน ถ้าเป็นวันที่เราทำงานตามปกติ เช่นใช้งานเว็บเบราวเซอร์หาข้อมูล พิมพ์งานทั่วไป แต่งไฟล์ภาพเล็กน้อยสำหรับประกอบบทความ อุณหภูมิของซีพียูเฉลี่ยสูงสุดก็จะไม่เกิน 55 องศาเซลเซียส ส่วนพีคก็อาจจะมีไปถึง 75-80 องศาเซลเซียสบ้างเป็นบางโอกาสและไม่ได้สูงค้าง

แต่ถ้าเป็นการใช้งานแบบหนักหน่วงอย่างการเล่นเกมและทดสอบด้านกราฟิกของโน้ตบุ๊ก แน่นอนความร้อนพุ่งทะลุจุดเดือนระดับ 100 องศาเซลเซียสก็มีให้เห็นเป็นระยะ ๆ ซึ่งเป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้นและมักจะเป็นจุดที่ความเร็วของซีพียูพุ่งทะลุระดับ 5GHz ไปด้วยเช่นกันครับ

Intel Core Ultra 200H Series cover

สรุปหลังทดสอบและใช้งาน

จากการทดสอบและทดลองใช้งานซีพียู Intel Core Ultra 9 285H ผ่านทางโน้ตบุ๊ก MSI ก็แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าของอินเทลที่ได้ผสานรวมนวัตกรรมหลักหลายประการเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว แม้ว่าหลายคนจะบอกว่าการใช้สถาปัตยกรรมแบบไฮบริดนี้ทำให้ซีพียูไม่สามารถแสดงศักยภาพการทำงานที่สูงสุดได้ เช่นกรณีของ P-core ที่ใช้ Lion Cove นั้นจะรองรับ AVX-512 อย่างเต็มรูปแบบในขณะที่ E-core ที่ใช้ Skymont ไม่รองรับ AVX-512 เนื่องจากข้อจำกัดด้านพลังงานและพื้นที่ นั่นก็อาจจะจริงหากเป็นในกรณีของซีพียูระดับเดสก์ท้อป แต่ในกรณีของซีพียูสำหรับโน้ตบุ๊กแล้วผมคิดว่าประสิทธิภาพที่ได้เมื่อเทียบกับการใช้พลังงานนั้นก็ถือว่าอินเทลทำในจุดนี้ได้ดีอย่างมาก

รวมไปถึงการปรับปรุงกราฟิกใหม่ที่ให้ประสิทธิภาพสูงขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมกราฟิก Xe LPG+ ที่มาพร้อมกับ Xe Matrix Extension (XMX) มาใช้งาน ได้ยกระดับประสิทธิภาพการประมวลผลด้าน AI และกราฟิกอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในโปรเซสเซอร์ระดับเดียวกัน ยังไม่นับรวมประสิทธิภาพด้าน AI จาก NPU

นอกจากนี้การที่กราฟิกของอินเทลรองรับคุณสมบัติอย่าง XeSS 2 ซึ่งมีทั้ง Frame Generation และ Xe Low Latency ทำให้ประสบการณ์การเล่นเกมมีความลื่นไหลและตอบสนองได้ดียิ่งขึ้น แม้ว่าโน้ตบุ๊กรุ่นนี้จะไม่ได้มีเป้าหมายไว้สำหรับเล่นเกมก็ตาม ในขณะเดียวกัน Media และ Display Engines ที่ทรงพลังก็ตอบโจทย์การสร้างสรรค์และรับชมคอนเทนต์ความละเอียดสูงได้อย่างสมบูรณ์แบบ

เมื่อได้เห็นแบบนี้แล้วก็อดไม่ได้ที่จะรอพบกับซีพียูสำหรับโน้ตบุ๊กรุ่นถัดไปอย่าง Panther Lake ที่มีการยกเครื่องสถาปัตยกรรมใหม่หมดอีกครั้ง และยังจะมาพร้อมกับกระบวนการผลิตแบบใหม่นั่นจึงทำให้อินเทลยังสามารถยืนอยู่ในตำแหน่งผู้นำของซีพียูในโน้ตบุ๊กได้อย่างไม่ต้องสงสัย

ข้อมูล: Intel, MSI